ปวดศีรษะเป็นอาการที่พบบ่อยมากในคนทั่วโลก ในแต่ละปีมีผู้ปวดศีรษะมากถึง 3 ใน 4 คน ส่วนน้อยของผู้ที่ปวดศีรษะเท่านั้นที่จะเป็นโรคร้ายแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการปวดศีรษะเกิดจากปวดจากความตึงเครียด (tension-type headache) และไมเกรน
ไมเกรน ไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจาก Tension-type headache พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า มีอาการปวดศีรษะรุนแรง มักปวดซีกใดซีกหนึ่งของศีรษะ หรืออาจปวดทั้ง 2 ซีกก็ได้ ร่วมกับอาการทางระบบประสาท มักเริ่มเป็นครั้งแรกในวัยแรกรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว พบบ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์และมักจะมีอาการก่อนมีประจำเดือน อาการน้อยลงในวัยหมดประจำเดือน อุบัติการณ์สูงขึ้นในผู้ที่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม ลักษณะอาการมีได้ 2 แบบ ซึ่งอาจมีอาการแบบใดแบบหนึ่งหรือทั้ง 2 แบบ (33%) ก็ได้
- Common migraine (migraine without aura) เป็นไมเกรนชนิดที่ไม่มีอาการเตือน พบราว 75% ของผู้ที่ปวดศีรษะทั้งหมด มีอาการดังนี้
- ปวดศีรษะตุ้บๆ มักเป็นซีกใดซีกหนึ่ง หรือปวดทั้ง 2 ซีก ค่อยๆ ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษา อาจปวดเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน (4-72 ชั่วโมง) อาการปวดเป็นมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการเคลื่อนไหว แสง หรือเสียง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- กลัวแสง (photophobia)
- กลัวเสียง (phonophobia)
- Classic migraine (migraine with aura) เป็นไมเกรนที่มีอาการเตือน พบราว 33% ของทั้งหมด มีอาการดังนี้
- อาการเตือน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เห็นแสงวูบวาบ การมองเห็นผิดปกติ ได้ยินเสียง หรือได้กลิ่นแปลกๆ เวียนศีรษะ ชาซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย อาการเหล่านี้มักจะเกิดก่อนปวดศีรษะประมาณ 5-60 นาที และจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นใน 4-60 นาที
- ปวดศีรษะแบบเดียวกับ common migraine แต่เฉียบพลันกว่า อาจปวดพร้อมอาการเตือนหรือภายใน 60 นาทีหลังอาการเตือน มักปวดนาน 2-6 ชั่วโมง และทุเลาหลังนอนพักผ่อน
- ไวต่อแสง (sensitivity to light)
- อ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย (พบน้อย)
สาเหตุ
- ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่การปวดศีรษะเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือด ซึ่งกระตุ้นปลายประสาทที่ผนังหลอดเลือด
สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ
- ความตึงเครียด เช่น ความโกรธ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ การทำงานหรือออกแรงหักโหมจนเกินกำลัง (over exertion) การเดินทางไกล การออกกำลังกายหนัก
- อาหาร เครื่องดื่ม หรือเครื่องปรุงบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ เนยแข็ง ช็อกโกเลต อาหารที่มีไขมัน หรือ tyramine สูง หัวหอม ผงชูรส สารไนเตรท ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะเขือเทศ
- ปัจจัยทางพันธุกรรม
- อุบัติเหตุที่ศีรษะ
- แสงจ้า หรือเสียงดัง
- การอดอาหารและความหิว
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การมีประจำเดือน กินยาคุมกำเนิด
การดูแลตนเอง
- นอนในห้องที่มืดและเงียบสงบ
- ประคบเย็นบริเวณที่ปวด
- อาบน้ำเย็น
- กินยาแก้ปวดเมื่อเริ่มมีอาการ
- หาสาเหตุที่เป็นตัวกระตุ้นให้ปวดศีรษะและหลีกเลี่ยงเสีย
- หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์
การรักษาโดยแพทย์
- ตรวจหาโรครุนแรงอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะ
- ให้ยาแก้ปวดชนิดที่ออกฤทธิ์แรงขึ้น
- อาจต้องให้ยาเฉพาะสำหรับไมเกรน
- ให้ยาแก้อาเจียน
- ให้ยาป้องกันหากเป็นบ่อยจนรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน
การป้องกัน หลีกเลี่ยงสาเหตุที่กระตุ้นอาการปวดศีรษะ
ปวดศีรษะจากความตึงเครียด (Tension-type headache) อาการปวดศีรษะจากความตึงเครียดนั้นเกิดจากการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ (muscle contraction) เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุด ต่างจากไมเกรนคือมักปวดทั่วๆ ศีรษะ ปวดตื้อๆ แน่นๆ เหมือนถูกบีบรัด เป็นได้ทุกวันและไม่ถูกกระตุ้นด้วยการเคลื่อนไหว ไม่กลัวแสงหรือเสียง มักไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีเพียงเล็กน้อย มักมีอาการช่วงบ่าย มีความสัมพันธ์กับความเครียด อาจปวดเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันก็ได้ เป็นได้ในทุกอายุ แต่มักเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาว อาจพบปวดศีรษะทั้ง 2 ชนิด คือไมเกรนและความตึงเครียด ในคนเดียวกันก็ได้
อาการ
- ปวดตื้อๆ แน่นๆ คล้ายถูกบีบรัด บริเวณขมับ กระหม่อม ท้ายทอย ต้นคอ
- ปวดที่หนังศีรษะและกล้ามเนื้อต้นคอ
สาเหตุ ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าสิ่งกระตุ้นอาการปวดศีรษะมีดังนี้
- ความตึงเครียด เช่น ความโกรธ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ ทำงานหรือออกแรงหักโหมเกินกำลัง (over exertion)
- อยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม (poor posture) เป็นเวลานาน
- ภาวะซึมเศร้า
- อดนอน
- กล้ามเนื้อตาล้า (eye strain)
การดูแลตนเอง
- ประคบเย็นบริเวณที่ปวด
- อาบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น
- นวดบริเวณศีรษะ ต้นคอ หัวไหล่
- ออกกำลังกายชนิดผ่อนคลาย (relaxation exercises) ด้วยวิธียืดและคลายกล้ามเนื้อ (stretching exercises) เช่น กายบริหาร มวยจีน โยคะ
- ลดหรือหยุดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า สวมแว่นกันแดดเมื่อออกแดด
- กินยาแก้ปวด
ปรึกษาแพทย์ ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดต่อเนื่องเป็นเวลานานและปวดบ่อยๆ
- ปวดศีรษะร่วมกับมีไข้ คอแข็งก้มไม่ลง (อาจเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ) แขน ขา ชาหรืออ่อนแรง การมองเห็นหรือการพูดผิดปกติ (อาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง)
- ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็มีอาการปวดศีรษะ
การรักษาโดยแพทย์
- แยกโรคร้ายแรงที่เป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะออกไปก่อน
- ให้ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ให้ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์แรงขึ้น
การป้องกัน
- ฝึกผ่อนคลาย เช่น ทำสมาธิ ออกกำลังกายด้วยวิธียืดและคลายกล้ามเนื้อ (stretching exercises) ซึ่งสามารถทำได้ในที่ทำงาน เช่น กายบริหาร
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงสภาวะที่ทำให้เครียด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (เช่น ชา กาแฟ)
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน พยายามอยู่ในร่มในวันที่แดดแรง สวมแว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกแดด
นอกจากนี้ยังพบการปวดศีรษะที่เรียกว่า Analgesic headache คืออาการปวดศีรษะที่เกิดจากการใช้ยาแก้ปวดหรือยารักษาไมเกรนที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะยากลุ่ม ergot derivative ที่มีสาร caffeine ผสมอยู่ ผู้ที่กินยาแก้ปวดขนาดต่ำๆ ทุกวัน มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่กินขนาดสูงแต่ไม่บ่อย มักพบในผู้ที่ซื้อยาแก้ปวดที่ผสม caffeine กินเองและกินถี่กว่า สัปดาห์ละ 1-2 วัน
อาการ
- ปวดศีรษะที่มีความถี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบของการปวดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ปวดศีรษะสลับกันระหว่างไมเกรนและที่เกิดจากยาแก้ปวด
- ปวดศีรษะเกิน 15 วันต่อเดือน และปวดนานเกิน 4 ชั่วโมงต่อครั้งถ้าไม่รักษา
- ต้องกินยาแก้ปวดแทบทุกวัน เพื่อระงับการปวดที่ไม่ได้เกิดจากไมเกรน
การป้องกัน
- ไม่กินยาแก้ปวดเกินเดือนละ 15 วัน
การรักษา
- หยุดยาแก้ปวดทั้งหมด (หลังหยุดยา 2-3 สัปดาห์ อาการปวดก็จะลดลงชัดเจน)
- เปลี่ยนเป็นยาแก้ปวดขนานอื่น โดยปรึกษาแพทย์
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today |