เรื่องของฟันของน้องหมา
ฟัน โครงสร้างองค์ประกอบส่วนต่างๆ ของฟันสุนัข
มีฟันปรากฏอยู่ทางด้านปากบน (Upper Jaw)
และปากล่าง (Lower Jaw)
ฟันซี่เล็กที่ขึ้นอยู่ตอนหน้า
แนวข้างของปากเรียกว่า ฟันหน้า (Incissors)
จะมีอยู่รวม 12 ซี่ อยู่ปากบน 6 ซี่ ปากล่าง 6 ซี่
หน้าที่ของฟันหน้าใช้ในการกัดยึดให้ฉีกขาด
เขี้ยว เป็นฟันที่มีขนาดใหญ่และยาว แข็งแกร่ง แหลมคม
ใช้ในการต่อสู้สำหรับกัดและกดฝังลงไป
ช่วยในการยึดแน่นเมื่อกัด เขี้ยวมีอยู่รวม 4 ซี่
อยู่ปากบน 2 ซี่ ปากล่าง 2 ซี่
ติดอยู่ข้างๆ กับฟันหน้าทั้ง 2 ด้าน
ฟันกราม แบ่งเป็น 2 แบบคือ
1. ฟันกรามนอก (Premolars) หรือเรียกว่า ฟันกรามเล็ก มีอยู่รวม 16 ซี่
อยู่ปากบน 8 ซี่ ปากล่าง 8 ซี่
เรียงจากเขี้ยวเข้าไปด้านในของปากช่วยในการเคี้ยวอาหาร
2. ฟันกรามใน ( Molars) หรือเรียกว่า ฟันกรามใหญ่ มีอยู่รวม 10 ซี่
อยู่ปากบน 4 ซี่ ปากล่าง 6 ซี่
เรียงลำดับจากฟันกรามนอกเข้าไปจนสุดปาก
มีหน้าที่ในการขบบดอาหารให้ละเอียด
ฟันสุนัขแบ่งเป็น 2 ชุด ชุดแรก ฟันชั่วคราว หรือเรียกว่า ฟันน้ำนม
จะเกิดเมื่อลูกสุนัขอายุประมาณ 3 อาทิตย์ ถึง 6 เดือน
จากนั้นก็จะหลุดเมื่อสุนัขเริ่มโตขึ้นมีจำนวน 28 ซี่
ชุดที่สอง ฟันถาวร หรือเรียกว่า ฟันแท้ มีจำนวน 42 ซี่
ฟันปากบน 20 ซี่ ฟันปากล่าง 22 ซี่
ขณะที่ฟันน้ำนมเริ่มหลุดออกและฟันแท้เริ่มขึ้นแทนที่
ลูกสุนัขจะมีอาการรำคาญหรือเจ็บที่เหงือก จะทำให้ไม่ค่อยกินอาหาร
เมื่อฟันแท้ขึ้นลูกสุนัขจะมีอาการเรียกว่าคันปาก
มักจะแทะสิ่งของควรหลีกเลี่ยงจากการถูกกัดแทะ
และเมื่อสุนัขที่มีอายุในวัยรุ่นมักชอบเล่นมีการกัดฟัดเหวี่ยงสิ่งของต่าง ๆ
เจ้าของสุนัขจะเอาของออกมาจากปากสุนัขไม่ควรกระชาก
หรือลากออกแรงมาก ๆ จะทำให้ฟันหัก หรือเกบิดออกได้
ฟันของสุนัขประกอบไปด้วยฟัน 2 ชุดคือ ฟันน้ำนม และฟันแท้เช่นเดียวกับมนุษย์ โดยฟันน้ำนมเริ่มขึ้นเมื่อลูกสุนัขอายุ 2-4 สัปดาห์และจะขึ้นครบ 28 ซี่ เมื่ออายุ 12 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะเริ่มร่วงหลุด และมีฟันแท้ขึ้นมาทดแทนในช่วงอายุ 3-5 เดือน เมื่อลูกสุนัขอายุ 6-8 เดือน ฟันแท้จะขึ้นครบทั้งหมด 42 ซี่ โดยที่โครงสร้างของฟันและลักษณะการเรียงตัวของฟันในสุนัขจะมีความแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ ฟันแท้จะคงอยู่คู่กับสุนัขไปจนตลอดชีวิต ถ้าฟันแท้เสียหายหรือถูกทำลาย ก็จะไม่มีฟันชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนอีกต่อไป
อาจจะไม่ง่ายนัก หากต้องการรักษาสุขภาพภายในช่องปาก และฟันของสุนัขให้สะอาดอยู่เสมอ ดังนั้น ปัญหาภายในช่องปาก และฟันของสุนัข จึงเป็นเรื่องที่พบบ่อย จากการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยพบว่า เมื่อสุนัขมีอายุประมาณ 2 ปี จะเริ่มตรวจพบอาการของโรคในช่องปากได้ถึง 80% ของจำนวนสุนัข โดยเริ่มต้นจากการสะสมของพล๊าค (Plaque) ซึ่งมีลักษณะเป็นฟิล์มเหนียวๆ บนฟัน หากไม่ขจัดคราบดังกล่าวออกไป พล๊าคเหล่านี้จะสะสมตัวแข็งขึ้นจนเกิดเป็นหินปูน (Tartar) และก่อให้เกิดเหงือกอักเสบ ส่งผลให้สุนัขเกิดอาการเจ็บปวด และนำไปสู่โรคปริทนต์ (Periodontal Disease) โดยอาจทำให้สุนัขของคุณเลี้ยงสูญเสียฟัน และเกิดการติดเชื้อแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
ช่วงอายุสุนัขกับลักษณะภายในช่องปาก
2-4 สัปดาห์ ยังไม่พบฟันน้ำนมขึ้น
3-4 สัปดาห์ ฟันน้ำนมบางซี่เริ่มขึ้นแทรกเนื้อเหงือก
4-6 สัปดาห์ ฟันน้ำนมซี่ต่างๆ มีการขึ้นแทรกเนื้อเหงือก
8 สัปดาห์ ฟันน้ำนมซี่ต่างๆ ขึ้นครบหมดทุกซี่
3-4 เดือน ฟันน้ำนมครบทุกซี่ เริ่มกระจายตัวห่าง
5-7 เดือน ฟันน้ำนมเริ่มหลุด และฟันแท้เริ่มขึ้น
7 เดือน ฟันแท้ซี่ต่างๆ ขึ้นครบหมด
1 ปี ฟันแท้มีลักษณะขาว และสะอาด
1-2 ปี ฟันแท้ซี่ต่างๆ เริ่มีคราบอาหารและหินปูนเกาะ โดยเฉพาะฟันกราม
3-5 ปี ฟันแท้ซี่ต่างๆ มีหินปูนเกาะมาก
5-10 ปี ฟันแท้ซี่ต่างๆ มีหินปูนเกาะมาก เริ่มมีอาการของโรคเหงือก
10-15 ปี ฟันแท้ซี่ต่างๆ เริ่มมีการสึกกร่อน, มีหินปูนเกาะมาก และฟันบางซี่หลุดไป 2 สัปดาห์ ผ่านไป
ที่มา:http://rayongvetclinic.wordpress.com/2008/08/23/การประเมินอายุสุนัขจาก/
ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคฟันในสัตว์เลี้ยง ได้แก่
- อายุ – โรคฟันมักเกิดได้บ่อยในสุนัขที่อายุมาก โดยเฉพาะในสุนัขที่ไม่มีการดูแลทำความสะอาดช่องปากและฟัน จะทำให้เกิดการสะสมคราบพล๊าคและหินปูนมาก
- สายพันธุ์ – สำหรับสุนัขสายพันธุ์เล็กที่มีฟันซ้อนเกิน หรือ มีฟันเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ มักจะเกิดโรคฟันได้ง่าย เนื่องจากทำความสะอาดได้ยาก
- อาหาร – การให้สุนัขอาหารที่เหนียว อาหารเปียก หรือ อาหารปรุงเอง จะทำให้สัตว์เลี้ยเกิดคราบฟัน และหินปูนได้ง่าย
จะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขของคุณเป็นโรคฟัน
หากสุนัขของคุณกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับเหงือก และฟัน สิ่งที่คุณสามารถสังเกตได้เป็นสิ่งแรก คือกลิ่นปาก และรวมถึงอาการต่างๆ เหล่านี้
- มีกลิ่นปาก
- น้ำลายหยดบ่อยๆ
- มีการสะสมของหินปูนสีเหลือง
- เลือดออกบริเวณเหงือก
- แสดงอาการเจ็บปวดบริเวณปาก
- กินอาหารลำบาก
- สูญเสียฟัน หรือฟันหัก
- ตะกุย หรือเกาบริเวณปาก
การดูแลรักษาสุขภาพเหงือก และฟันของสุนัขให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอนั้นง่ายกว่าที่ท่านคิด เริ่มต้นจากการปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อทำการตรวจสุขภาพ และดูแลทำความสะอาดช่องปาก และฟันของสุนัขอย่างถูกวิธี จากนั้นควรเปลี่ยนอาหารจากอาหารปกติมาเป็นอาหารเม็ดที่มีขนาดเม็ดใหญ่เป็นพิเศษ เพื่อช่วยในการขจัดคราบฟัน และหินปูนอย่างได้ผลขณะเคี้ยวอาหาร และควรแปรงฟันให้สุนัขอย่างสม่ำเสมอ โดยสัตวแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแปรงฟันอย่างถูกวิธี
การแปรงฟันให้สุนัข
ควรจะเริ่มฝึกแปรงฟันให้กับสุนัขตั้งแต่สัตว์เลี้ยงอายุยังน้อย ในขณะที่เป็นฟันน้ำนม เนื่องจากหากเริ่มฝึกตอนโต สุนัข-อาจปฏิเสธ และมีคราบพล๊าคสะสมที่ฟันมากแล้ว ควรทำให้การแปรงฟันเป็นเรื่องสนุก เช่น ใช้ยาสีฟันที่มีกลิ่นและรสชาติที่สุนัขชอบ หลังจากแปรงฟันเสร็จให้รางวัลเป็นขนมที่ชอบ หรือคำชมเชย
วิธีฝึกสุนัขให้ร่วมมือ ยอมรับการแปรงฟัน สามารถฝึกหัดได้โดยใช้ความอดทน เวลา และใจเย็นๆ ตามขั้นตอนดังนี้
- หัดเปิดปากสุนัขค่อยๆ อ้า โดยใช้นิ้วดันริมฝีปากให้เปิดขึ้น พร้อมใช้นิ้วของคุณค่อยๆ นวดบริเวณเหงือก ทำวันละเล็กละน้อยให้เสมือนเป็นการเล่น แล้วแจกของรางวัล เช่น ขนมสำหรับสุนัข
- ขยับไปใช้ผ้าขนหนู หรือผ้าก๊อซ พันนิ้วคุณไว้แล้วจุ่มน้ำพอหมาดๆ แล้วถูนวดบริเวณเหงือกและฟันทีละน้อยเพิ่มขึ้นจากขั้นตอนแรก และอย่าลืมให้รางวัลหลังฝึกด้วย
- ขั้นตอนนี้ต้องค่อยๆ ทำเป็นพิเศษ เนื่องจากเราจะใช้แปรงของจริง คุณอาจเลือกใช้แปรงสีฟันของเด็กซึ่งมีขนาดหัวแปรงเล็ก ขนนุ่ม หรือจะไปซื้อของที่ทำมาสำหรับสุนัขก็มีขาย นำมาถูหรือสัมผัสกับฟันและเหงือกโดยจุ่มน้ำแล้วใช้ด้านข้างของแปรงแตะๆ ก่อน อย่าใช้ด้านขนแปรงถูทันที สุนัขอาจจะตกใจได้
- เลือกใช้ยาสีฟันที่มีขายสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ ห้ามใช้ยาสีฟันของคุณ หรือลูกเนื่องจากมันมีกลิ่นรุนแรง หลากหลายรสชาติซึ่งสุนัขไม่ชอบ ซ้ำยังเป็นฟองมากด้วย แต่ถ้าอยากประหยัดก็ปรุงยาสีฟันสัตว์เลี้ยงเองโดยใช้เกลือ 1 ส่วนผสมผงฟู 2 ส่วน ค่อยๆ เพิ่มปริมาณยาสีฟันจากน้อยๆ จนปกติ
คุณควรแปรงฟันให้สุนัขวันละ 1 ครั้งทุกวันจนเป็นปกติวิสัย ในช่วงที่ทำอยู่นั้นให้สังเกตดูความผิดปกติที่อาจเกิดในช่องปากของสุนัข เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที แค่นี้สุขภาพปากและฟันของสุนัขของคุณ ก็จะสมบูรณ์ตลอดไป
www.dogthailand.net
ที่มา : เอกสารแนะนำอาหารสัตว์ของ บริษัท เวท เรคคอมเมนต์ จำกัด ร.พ. สัตว์สุวรรณชาด หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
|