Neric-Club.Com
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
14328349  

ตามใจไปค้นฝัน

 
 
เจ้าชายจิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์รัชกาลที่ 5
• พระนามของ “เจ้าชายจิกมี” ติดปากชาวไทยในคราวที่พระองค์เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549 ในฐานะที่เป็นเจ้าชายโสดผู้ทรงพระสิริโฉมและมีพระจริยวัตรงดงาม ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นพระราชอาคันตุกะที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดในหมู่ราชวงศ์ที่มาร่วมงาน จนเป็นที่ต้องตาต้องใจของชาวไทยโดยเฉพาะสุภาพสตรี
• พระนามเต็มของเจ้าชายจิกมี คือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก คนไทยเรียกพระนามท่านว่า “เจ้าชายจิกมี” ตามสื่อมวลชน แท้ที่จริง ชาวภูฏานเรียกท่านว่า “เจ้าชายเคซาร์” ซึ่ง จิกมี ชื่อหน้านั้นแปลว่า ผู้กล้าหาญ ส่วนชื่อหลังเป็นราชวงศ์ พระนาม “เคซาร์” ใช้เรียกพระนามของพระองค์ พระราชินี เชอริง เยนเดย์ วังชุก พระมารดาเคยอธิบายถึงชื่อของพระองค์ว่า “เคซาร์” เป็นชื่อของจอมทัพนักรบของชาวมองโกเลีย ดังนั้น เจ้าชายจิกมี ที่คนไทยนิยมเรียก หรือสื่อมวลชนต่างๆ นั้นเรียกขานกันผิด ที่ถูกต้องนั้นต้องเรียกว่า “เจ้าชายเคซาร์” ตามแบบชาวภูฏาน
• พระราชประวัติ
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคซาร์ นัมเกล วังซุก พระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ทรงเป็นพระราชโอรสใน สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก และ สมเด็จพระราชินี อาชิ เชอริง ยางดน วังชุก ซึ่งเป็นพระมเหสีองค์ที่สาม สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ซึ่งมีพระนามว่า เจ้าหญิงอาชิ เดเชน ยังซัม และพระอนุชามีพระนามว่า เจ้าชาย ดาโช จิกมี ดอร์จิ วังชุก
• ภายหลังเจริญพระชันษา พระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ในระดับมัธยมศึกษาที่ คัชชิง อคาเดมี (Cushing Academy) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำสหศึกษาที่มีชื่อเสียงของมลรัฐแมสซาชูเซตส์ มีอายุกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีการสอนวิชาศิลปะใช้วิธีให้นักเรียนแสดงออกใช้ความคิดสร้างสรรค์ตามศักยภาพ ทั้งในศิลปะการแสดง การละคร ดนตรี งานออกแบบอัญมณี ตลอดจนถึงงานศิลปกรรมแขนงต่างๆ เช่น จิตรกรรม และ ทัศนศิลป์
• ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายเคซาร์ จึงโปรดศิลปะการวาดภาพ ถ่ายภาพ รวมทั้งการอ่านหนังสือและการกีฬา โปรดการยิงธนูตามแบบอย่างของชาวมองโกล และทรงชอบเล่นบาสเกตบอลเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน ก็ทรงได้รับการอบรมขนมธรรมเนียมพระราชสำนักและประเพณีวัฒนธรรมทางศาสนาของชาวภูฏาน
• ทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยวีตัน (Wheaton College) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์ในมลรัฐเดียวกัน ก่อนที่จะเสด็จมาศึกษาต่อปริญญาโท ในสาขาการทูต (Foreign Service Programme) และสาขาวิชาการเมืองที่ วิทยาลัยแม็กดาเลน (Magdalen College) มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในสหราชอาณาจักร
• ทรงสำเร็จหลักสูตรการป้องกันประเทศจากวิทยาลัยการทหารแห่งชาติ ประเทศอินเดีย และรัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระราชบิดาไปยังต่างแดนในหลายโอกาส และทรงเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมต่างๆ รวมไปจนถึงการศึกษา และองค์กรเศรษฐกิจหลายแห่ง
• การทูลเกล้าถวายปริญญา
• มหาวิทยาลัยรังสิตได้ ทูลเกล้าถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ให้กับสมเด็จพระราชาธิบดี (เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชายมกุฎราชกุมาร) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2549
• มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ ทูลเกล้าถวายปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาส่งเสริมการเกษตร ให้กับสมเด็จพระราชาธิบดี นอกจากนี้พระองค์ยังส่งนักศึกษาและบุคคลสำคัญเข้ามาศึกษา ดูงาน และสัมมนาที่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประจำ
• พระราชกรณียกิจ
• สมเด็จพระราชาธิบดีเคเซอร์ เป็นหนึ่งในพระราชอาคันตุกะ ที่เสด็จทรงร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 11-20 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่กรุงเทพมหานคร ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นพระราชอาคันตุกะที่มีพระชนมายุน้อยที่สุด ในหมู่ราชวงศ์ที่มาร่วมงาน
• ตลอดระยะเวลาที่เจ้าชายเคซาร์ทรงประทับอยู่ที่เมืองไทยนั้น นอกเหนือจากทรงเข้าร่วมในพระราชพิธีฉลองราชสมบัติ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ในวันที่ 14 มิถุนายน ได้เสด็จไปยังพระตำหนักจักรีบงกช อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เพื่อทรงเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมี ต่อจากนั้นได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร
• ทรงเสด็จไปยังภูเก็ต ประทับที่รีสอร์ต อมันบุรี อำเภอถลาง เสด็จฯ ไปยังเกาะไม้ท่อน ทรงดำน้ำ เล่นเจ็ตสกี พาราเลซิ่ง และเล่นฟุตบอลชายหาดกับข้าราชบริพาร
• ทรงเสด็จเยี่ยม ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิโครงการหลวงที่วังประมวล กรุงเทพฯ
• เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงเสด็จเยือนประเทศไทยอีกครั้งเพื่อเสด็จเยี่ยมชมสวนดอกไม้ของภูฏาน ในงานพืชสวนโลกที่จัดขึ้นในเชียงใหม่
• ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯ และที่ประทับอยู่ในเมืองไทย พระองค์ได้รับการต้อนรับและการแสดงความชื่นชมจากคนไทย อย่างที่ไม่เคยมีเจ้าชายต่างแดนองค์ใดได้เคยได้รับมาก่อน ชาวไทยเพิ่งรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าชายจิกมีหรือเจ้าชายเคซาร์เมื่อเดินมิถนายน พ.ศ. 2549 มานี้นี่เอง ทั้งๆ ที่เจ้าชายจิกมี เคยเสด็จฯ มาประเทศไทยแล้ว 5-6 ครั้ง ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น
• แบบอย่างของวัยรุ่นภูฏาน
• ตลอดเวลาที่ทรงดำรงในฐานะมกุฏราชกุมาร พระองค์ยังได้ทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวมอย่างอดทนและรับผิดชอบ พระองค์จึงทรงเป็นแบบอย่างแก่วัยรุ่นภูฏาน ในขณะเดียวกัน แม้ได้โดยเสด็จไปยังชนบทแดนไกลเพื่อไต่ถามทุกข์สุข รับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งขอทราบความคิดเห็นของคนทั่วไปเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอาณาจักรภูฏานด้วย
• เจ้าชายเคซาร์ เสด็จฯ เยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก ตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดีย เข้าร่วมประชุมสหประชาชาติสมัยพิเศษ ว่าด้วยเรื่องเด็กในปี พ.ศ. 2445
• ปี พ.ศ. 2546 เสด็จฯ เยือนอินเดียครั้งที่สอง เพื่อก่อตั้งกองทุนร่วมอินเดีย-ภูฏาน
• ปี พ.ศ 2550 ทรงร่วมลงพระนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับประเทศอินเดียในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แทนฉบับเดิม ซึ่งคือฉบับ พ.ศ. 1949
• เสด็จขึ้นครองราชย์
• ภายในปี พ.ศ. 2551 หลังกษัตริย์ จิกมี ซิงเย วังชุก ผู้เป็นพระราชบิดา ทรงประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ พร้อมประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เหมือนดังเช่นประเทศไทย และเจ้าชายจิกมี เคซาร์ วังชุก มกุฏราชกุมา เป็นผู้ขึ้นสืบทอดบัลลังก์มังกรคำราม
• ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างแรกด้วยการพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันชาติของภูฎาน หลังจากนั้นประมาณสองปี ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 พระองค์ได้ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ ณ พระราชวังในกรุงทิมพู
• พระราชพิธีราชาภิเษก
• ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกที่จัดขึ้นในพระราชวังทาชิชโฮ ดซอง ในเมืองทิมพู โดยสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ทรงเป็นผู้ประกอบพระราชพิธี โดย พระราชทานมงกุฎไหมสีแดงดำแด่พระองค์ นอกจากนี้ยังมีนางซอนยา คานธี ประธานรัฐสภาของอินเดียเข้าร่วมในพิธีด้วย ทั้งนี้ พระองค์จะสืบบัลลังก์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก และยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดในโลก ด้วยพระชนมพรรษาเพียง 28 พรรษา และจะทรงปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตย
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงฉลองพระองค์สีแดงทองที่เป็นชุดคลุมยาวปิดเข่าอันเรียกกันว่า "โฆ" ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติของชายชาวภูฏาน ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองคำ พระพักตร์เคร่งขรึม แต่ก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยขณะทรงรับเครื่องถวายแด่สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ ใหม่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังทรงมีพระบรมราโชวาทแก่พสกนิกรหลายพันคนที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ในตอนบ่าย ของวันเดียวกันว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใด" "สิ่งที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้าคือความหวังและความมุ่งมาดปรารถนาของ ประชาชน และพระชนมายุอันยืนยาวและพระพลานามัยอันแข็งแรงสำหรับสมเด็จพระราชบิดา จิกมี ซิงเย วังชุก ของข้าพเจ้า ในโอกาสอันพิเศษยิ่งนี้ ขอให้ร่วมกันสวดมนต์และขออธิษฐานขอให้แสงตะวันเฉิดฉันแห่งความสุขจะสาดส่อง ลงมาที่ประเทศชาติของเราเสมอไป"
• นอกจากประชาชนหลายพันคนที่มารวมตัวกันถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งประกอบพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ยังมีแขกสำคัญที่ร่วมในพิธีดังกล่าวคือ ประธานาธิบดีประติภา ปาติลแห่งอินเดีย และนางโซเนีย คานธี นักการเมืองคนสำคัญของอินเดียพร้อมด้วยบุตรธิดา เนื่องจากครอบครัวคานธีนั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ภูฏาน
• มีการร่วมเฉลิมฉลองตามถนนหนทาง เล่นดนตรี มีการประดับประดาดอกไม้ตามศูนย์ต่างๆเพื่อแสดงการเฉลิมฉลองในโอกาสที่มี กษัตริย์พระองค์ใหม่ ตลอดจนมีการรายงานถึงความรู้สึกของพสกนิกรชาวภูฏานที่ทั้งต่างแสดงความดีใจ และสะเทือนใจในการสละราชสมบัติอย่างกระทันหันของพระราชบิดาไปพร้อมๆกัน
• “ความสุขมวลรวมของประชาชาติ สำคัญกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ” พระราชปณิธานของพระราชบิดายังคงดังก้องกังานไปในแผ่นดินภูฏาน นั่นหมายถึงว่า ในท่ามกลางกระแสคลื่นทุนนิยม บริโภคนิยม ประเทศภูฏานเปิดบ้านเปิดเมืองสู่โลกภายนอกมากขึ้น ชาวภูฏานในระดับผู้มีฐานะดี ต่างออกไปเล่าเรียนและแสวงหาความรู้จากประเทศทุนนิยมกันมากมาย จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ภูฏานจะดำรงความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้มากน้อยเพียงใด อีกทั้งจะเกิดช่องว่างทางวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ห่างไกลสุดเอื้อมในประเทศนี้หรือไม่
• ภูฏานประเทศที่มีศาสนาธรรมนำทาง มีเป้าหมายสร้างความสุขมวลรวมให้ประชาชาติมากกว่าการยึดถือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเป็นเป้าหมายแห่งความสำเร็จ จึงเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ท้าทายสำหรับกษัตริย์ในทศวรรษใหม่เป็นอย่างยิ่ง
• พระอิสริยยศ
• เจ้าฟ้าชาย ดาโช จิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก (พ.ศ. 2523-2547)
• เจ้าฟ้าชาย โชเซ เพนลป จิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน (พ.ศ. 2547-2549)
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (พ.ศ. 2549-ปัจจุบัน)

ราชวงศ์ภูฎาน ราชวงศ์วังชุกภูฏาน
• มหาบุรุษ “คุรุรินโปเช” ผู้สถาปนาศาสนจักร
• ย้อนไปในพุทธศตวรรษที่ 12 เพ่งมองไปที่แผ่นดินตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัยติดต่อกับทิเบต ในขณะนั้นมิมีใครที่จะล่วงรู้ได้ว่ามีชนพื้นถิ่นใดหรือมีผู้ใดอยู่อาศัยมาก่อนทราบกันแต่เพียงว่ามีลามะจากทิเบตนามว่า คุรุรินโปเช รอมแรมมาถึงดินแดนถิ่นนี้ และต่อมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน “คุรุรินโปเช” ท่านนี้ เป็นที่รู้จักของชาวภูฏานในนามว่า ปัทมสัมภาวะ หรือ ปัทมสมภพ (แปลว่า : เกิดในดอกบัว) จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าลามะท่านนี้ได้ใช้วิทยายุทธ์และอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชสู้รบกับศัตรูผู้มาแก่งแย่งช่วงชิงดินแดน ไม่ว่าจะเป็นลามะรูปอื่นๆจนกระทั่งแม้ทูตผีปีศาจ ในที่สุดท่านได้รับชัยชนะและลงหลักปักฐาน ณ ดินแดนแห่งนี้สำเร็จ พร้อมกับการเป็นเจ้าชีวิตเจ้าพิธีกรรม หยั่งรากฝังลึกลัทธิตันตระ-วัชรยาน จนกลายเป็นวิถีชีวิตของชาวภูฏานมาจนถึงทุกวันนี้
• ปัทมสัมภาวะ หรือ ปัทมสมภพ อันหมายถึง ผู้ที่เกิดในดอกบัว เป็นชื่อเรียกขานจากตำนาน ส่วน “คุรุรินโปเช” เป็นสมญานามของท่าน (ต่อมาเป็นชื่อชั้นในคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่)
• รินโปเช หรือ ริมโปเช หมายถึง พระลามะผู้เป็นพระอาจารย์ผู้ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงส่ง ผู้เป็นพระราชาคณะชั้นสูง ใช้กับพระลามะที่เชื่อกันว่าอวตาร (ผู้แบ่งภาคมาเกิด) เท่านั้น โดยไม่ระบุแน่ชัดว่าอวตารมาจากผู้ใด
• คุรุรินโปเช ผู้ให้กำเนิดของพุทธตันตระ-วัชรยานในภูฏาน ส่วน ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช เป็นชาวอินเดีย เป็นลามะผู้สอนรหัสยลัทธิในมหาวิทยาลัยนาลันทาอินเดียตอนเหนือ และเป็นผู้เผยแผ่พุทธตันตระ-วัชรยานในภูฏาน ต่อมาคุรุรินโปเชท่านนี้ได้รับการสักการะบูชาในฐานะพระพุทธเจ้าองค์ที่สองตามความเชื่อของชาวภูฏาน มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาจนกลายเป็นตำนานดินแดนภูฏานว่า
• ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช เกิดตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า หลังพุทธปรินิพพานจะมีมหาบุรุษนามว่า ปัทมะ มาจุติในดอกบัวในทะเลดิเมโกษะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอุเกนยุลเมืองหลวงของโอติยานะ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) และจะได้เป็นพระราชาแห่งศาสนจักร คำพยากรณ์กล่าวต่อไปว่าก่อนจะมีชื่อเสียงท่านจะถูกพระเจ้าอินทโพธิกษัตริย์จักษุบอด ผู้เป็นพระราชบิดาเลี้ยงเนรเทศ เพราะพระองค์หวังจะให้ปัทมสมภพสืบทอดราชบัลลังก์ แต่ปัทมสมภพกลับขัดขืนเพราะต้องการจะออกบวช เรื่องราวที่บันทึกสืบต่อกันมา อาจจงใจจะให้คล้ายคลึงกับประวัติพระพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมว่าปัจจุบันท่านปัทมสมภพรินโปเชได้รับการยกย่องสักการบูชาในฐานะพระพุทธเจ้าองค์ที่สองของชาวภูฏาน
• เมื่อปัทมสมภพรินโปเชหนีการสืบราชบัลลังก์ออกมาบำเพ็ญเพียรในป่า ได้ใช้อิทธิฤทธิ์ปราบภูตผีปีศาจที่เป็นมารขัดขวางการเผยแผ่พระพุทธศาสนานับครั้งไม่ถ้วน ก่อนที่จะบรรลุเป็นคุรุรินโปเชและออกไปเผยแผ่ธรรมในทิเบต ดินแดนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปไม่ถึง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์พระเจ้าจักกยาลโปรบพุ่งกับกษัตริย์นวราชที่โล-มอน ดินแดนภาคใต้ในทิเบต (ภูฏานในปัจจุบัน) พระเจ้าจักยาลโปสูญเสียพระโอรสไปในสนามรบ พระองค์เศร้าเสียพระทัยและสาปแช่งภูตผี รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ไม่อำนวยช่วยเหลือ ความทราบถึงคุรุปัทมสมภพ ได้รับนิมนต์มาช่วยปราบภูตผีวิญญาณร้ายจนราบคาบ ผู้ที่เป็นผู้ช่วยท่านคุรุปัทมสมภพในการปราบผีร้ายคราวนั้นเป็นสุภาพสตรีนามว่า ซุงมา หรือ ตันตรเทวี
• สิ่งที่ท่านได้รับพระราชทานรางวัลเป็นการตอบแทนจากพระเจ้าจักกยาลโป คือ พระราชธิดาคนงามของพระองค์พระนามว่า ลาซิก พุมเดน โซโม ผู้ที่มีลักษณะแห่ง “ฑากิณี” 21 ประการ (ฑากิณี คือ ยักษิณีที่ใจดี แต่ฮินดูว่าเป็นหญิงโขมด บริวารของนางกาลี) การที่พระลามะชั้นสูงจะมีสตรีคู่บารมี หรือมีหญิงสาวคู่เคียงคู่เสน่หา ไม่ใช่เรื่องแปลก หลังจากนั้นคุรุปัทมสมภพได้บำเพ็ญสมาธิในถ้ำวัชรคูหา 2 วัน โดยมีสตรีงาม ลาซิก พุมเดน โซโม คอยปรนนิบัติรับใช้ จนบรรลุคุณวิเศษระดับสุดยอดบรรลุฌานถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ และออกมาปัดเป่ารังควานบ้านเมือง โดยใช้พลังอำนาจของลัทธิตันตระจนพระเจ้าจักกยาลโปหายจากประชวร ต่อมาเกิดความสมานฉันท์ระหว่างกษัตริย์ที่รบกันมา และต่างนับถือคุรุปัทมสมภพและลัทธิตันตระเป็นหนึ่งเดียวกัน
• ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานทางศาสนจักร-ตันตระ ในดินแดนตอนใต้ของภูฏานในปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปัทมสมภพ หรือ คุรุรินโปเช กลายเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สักการบูชาของชาวภูฏานสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
• ภายใน ซอง อันเป็นอารามและป้อมปราการอเนกประสงค์รวมทั้งวัดวาอารามต่างๆในภูฏานจะมีรูปปั้นของคุรุปัทมสมภพ 8 ปาง ไว้ให้คนเคารพกราบไหว้ ในฐานะผู้มีคุณสูงสุด 8 ประการ คือ
1.ผู้อำนวยสุขแก่โลกทั้งสาม
2.ผู้คุ้มครองให้พ้นภยันตรายทั้งปวง
3.ผู้เป็นเจ้าแห่งคัมภีร์ตันตระ-วัชรยาน
4.ผู้โอบอุ้มปลอบโยนชาวโลก
5.ผู้ตรัสรู้พบแสงสว่างแห่งปัญญา
6.ผู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง
7.ผู้ประกาศพุทธศาสนาตันตระ-วัชรยาน
8.ผู้ประทานปัญญาอันล้ำเลิศ
• ในพุทธศตวรรษที่ 13 ได้มีลามะจากทิเบตมาร่วมสืบสานพุทธมหายานตันตระ-วัชรยานในดินแดนภูฏาน ระดมพระและผู้คนก่อสร้างซอง ซึ่งเป็นทั้งป้อมปราการ ที่พักและที่ทำงานทางด้านศาสนจักรและอาณาจักร รวมทั้งวัดวาอาราม ด้านทิศตะวันตกของภูฏาน จนลัทธิตันตระ-วัชรยานหยั่งรากฝังลึกไปในดินแดนแห่งนี้
• ในปี พ.ศ. 1763 ลามะปาโช หรือต่อมาคือ ปาโชดรุกอมโชโป เดินทางจากทิเบตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนามหายานนิกายดรุกปะกัคยุที่ดินแดนแถบนี้ ถูกลามะ 5 รูป ที่มาตั้งหลักปักฐานอยู่ก่อนแล้วขับไล่เกิดการต่อสู้กัน ปรากฏว่าลามะปาโชมีพลังอำนาจเหนือกว่า ลามะทั้ง 5 รูปจึงหนีหายไป ท่านลามะปาโชจึงได้รับการยอมรับนับถือมากจากคนพื้นถิ่น
• ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ลามะปาโช เดินทางมาก็เพื่อติดตามอาจารย์สังปะกยาเกล ที่เมืองดรุกราลุง เมื่อทราบว่าอาจารย์ได้มรณะไปก่อนแล้วจึงได้รับคำแนะนำจากศิษย์ไปศึกษาในสำนักทางตะวันตกจนสำเร็จ แล้วจึงได้ออกเดินทางเผยแผ่ธรรมในภูฏาน ระหว่างทางได้ปราบปีศาจร้ายในร่างจามรีจนสาบสูญไป ผู้คนที่พบเห็นต่างเลื่อมใสเข้าฝากตัวเป็นสาวก แล้วออกเผยแผ่ธรรมมาทางเมืองทิมพูในปัจจุบัน ขณะเดินทางได้พบรักกับสตรีที่มีลักษณะ “ฑากิณี” จึงแต่งงานกันจนมีลูกชาย 4 คน หญิง 1 คน กล่าวกันว่าลามะปาโชสร้างศรัทธาธรรมอย่างกว้างขวาง ทั้งมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ในการปราบปีศาจร้ายเป็นที่เลื่องลือของชาวบ้าน แต่ลามะปาโชก็พบจุดจบจากการโดนวางยาพิษในปี พ.ศ. 1819 จากลามะทั้ง 5 ซึ่งย้อนมาล่าชีวิตหลังจากเคยหนีหัวซุกหัวซุนมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ลามะปาโช ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนจักรในภูฏาน โดยการสร้าง “ซอง” ให้ลูกชายทั้ง 4 ไปพำนักและครอบครองเมืองคนละเมืองไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว

• ซับดรุง งาวังนัมเกล ผู้สถาปนาราชอาณาจักรภูฏาน
• งาวังนัมเกล เกิดที่ทิเบต เป็นบุตรของดุงเซมิพัมเทนปิ นยิมะ เล่าขานกันว่า เมื่อออกจากครรภ์มารดา ก็เกิดรุ้งกินน้ำบนท้องฟ้า หมู่เมฆกระจัดกระจายราวดอกไม้ปูประดับเวหา งาวังนัมเกล ได้ชื่อว่าเป็นผู้อวตารมาจากพระสังฆราชในนิกาย “ดรุกปะกัคยุ” ของทิเบต เป็นผู้มีสติปัญญาตั้งแต่เด็ก พออายุ 8 ขวบก็บวช และได้ฉายาว่า งาวังนัมเกล ศึกษาสรรพศาสตร์จนเชี่ยวชาญ พระสูตร-ตันตระ-กรรมฐาน-จริยศาสตร์-พิธีกรรมต่างๆ ตลอดจนถึงไวยกรณ์และอภิธานศัพท์ จากความปราดเปรื่องเกินมนุษย์ จึงกล่าวกันว่า งาวังนัมเกล เป็นอวตารแบ่งภาคมาเกิดจากปัทมะการ์โป และเป็นผู้ที่อยู่ในคำพยากรณ์ของคุรุปัทมสัมภาวะว่า บุรุษผู้ที่สมญานามว่า ดอร์จี (สายฟ้า) จะครองศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งภูฏาน
• งาวังนัมเกล ขึ้นปกครองเมืองดรุกราลุงตั้งแต่อายุ 13 ขวบ แต่ก็ใช่ว่าจะปกครองแว่นแคว้นได้โดยสงบ โดยเฉพาะถิ่นที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีของผู้นำนิกายต่างๆ ครั้งหนึ่ง สังเดสีพุนโชนัมเกล นำกำลังมาช่วงชิงพระบรมสารีริกธาตุไปได้ การเจรจาต่อรองของงาวังนัมเกลล้มเหลว จึงต้องออกจากเมืองดรุกราลุงไปเมืองกลาสา (ภูฏานตอนเหนือ) กอนวังโชแลม นำราษฎรเมืองกลาสามารับคำสอนทางพระพุทธศาสนาจาก งาวังนัมเกล จากนั้นงาวังนัมเกลออกจาริกเผยแผ่ธรรมมายังทิมพูและต่อมายังเมืองพาโร ความทราบถึงสังเดสีพุนโชนัมเกลว่า มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธางาวังนัมเกลมากมาย ก็เกรงว่างาวังนัมเกลจะสั่งสมบารมีย้อนกลับมาโค่นล้มตน จึงส่งเสียงจากทิเบตว่า หากงาวังนัมเกลสั่งสมผู้คนจะตามมาราวีถึงที่ ว่าแล้วก็ยกกำลังมา เกิดการสู้รบกับกองกำลังของฝ่ายงาวังนัมเกล ทหารของเดสีพุนโชล้มตายเป็นเบือต้องหนีกระเซอะกระเซิงกลับไปถิ่นทิเบต
• การศึกครั้งนี้ก็เป็นที่ร่ำลือกันว่า งาวังนัมเกล ชนะศึกด้วยวิทยายุทธ์และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ดุจเทพเจ้า หลังชนะศึก งาวังนัมเกลย้อนกลับมายังเมืองทิมพู เชวังเทนชินแห่งทังคุซอง ให้การต้อนรับและมอบทังคุซองให้ งาวังนัมเกล เป็นที่พำนักเผยแผ่ธรรม ด้วยความเป็นลามะที่มีความสามารถและอิทธิฤทธิ์สูงส่ง งาวังนัมเกล จึงได้รวบรวมแคว้นน้อยใหญ่ตามหุบเขาเป็นอาณาจักรเดียว มีศูนย์กลางอยู่ทางทิศเหนือของหุบเขาเมืองทิมพู ด้วยความเก่งกล้าสามารถ จึงได้รับสมญานามว่า “ซับดรุง”(ออกเสียงตามชาวภูฏาน) มีความหมายว่า “ผ็ที่ทุกคนยอมศิโรราบแทบเท้า” เชวังเทนซิน มอบทังคุซองให้พร้อมพระอวโลกิเตศวรสลักไม้จันทน์เป็นการคารวะ กษัตริย์เนปาลถวายสถูปโพธินาถและสถูปสวยัมภูวนาถ ขณะเดียวกัน งาวังนัมเกล ได้อภิเษกสมรสกับนางซัม ดอลการ์ โครมา และมีโอรสซึ่งเป็นผู้สืบทอดทางศาสนาในเวลาต่อมา ซับดรุง งาวังนัมเกล ได้บัญชาการสร้าง ซอง ขึ้นหลายแห่ง (ซอง หรือ ซง เรียกตามการออกเสียงของชาวภูฏาน) เป็นทั้งอารามวัดและป้อมปราการป้องกันหรือใช้ในการโจมตีหรือต่อต้านการรุกรานของข้าศึกปี
ปี พ.ศ.2163 สร้างเชอรีดอร์จีซอง
ปี พ.ศ.2172 สร้างสิมโทชาซอง
ปี พ.ศ.2182 สร้างพูนาคาซอง ตรงแม่น้ำโพ(แม่น้ำพ่อ) และแม่น้ำโม(แม่น้ำแม่) ไหลมาบรรจบกัน (เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องลือในปัจจุบัน)
• ทรงย้ายศูนย์การบริหารคณะสงฆ์จากเชอรีดอร์จีซองมายังพูนาคา ยกเมืองพูนาคาขึ้นเป็นเมืองหลวงของภูฏาน และในที่สุดก็สถาปนาอาณาจักรดรุกยุลขึ้นมา และสถาปนาตนเองเป็นปฐมสังฆราชา
• อาณาจักรดรุกยุล หรือดินแดนมังกรสายฟ้า หรือมังกรฟ้าคำราม จึงเป็นชื่อที่คนท้องถิ่นเรียกชื่อประเทศของเขาว่า ดรุกยุล มาจนถึงทุกวันนี้ และเรียกศาสนาในนิกายที่ตนนับถือว่า “ดรุกปา”(ดรุกปะกัคยุ) เป็นชื่อศาสนาประจำชาติ ดรุก คือ ภูฏาน ยุล อีกนัยหนึ่งหมายถึง ชัยชนะ

• ซับดรุง งาวังนัมเกล ได้วางรากฐานทางการปกครองของเฉพาะภูฏานเป็นเบื้องต้นขึ้น ให้ฝ่ายศาสนจักรมีสังฆราชาหรือ เจเคนโป เป็นประมุข ฝ่ายอาณาจักรมีกษัตริย์เป็นประมุข ผู้ปกครองส่วนท้องถิ่นมีเจ้าอาวาสเรียกว่า เดซี เป็นผู้นำภายใต้กฎหมาย 2 ฉบับ คือ กฎหมายทางใจและกฎหมายทางโลก ซึ่งมีกฎข้อบังคับและโทษหนักเบาลดหลั่นกันไป ในท่ามกลางหิมะและลมหนาวยะเยือก ยามนั้นพูนาคาซองจะเป็นที่ประทับของ เจเคนโป พร้อมคณะบริหารสงฆ์ส่วนกลาง เจเคนโป คือ พระลามะที่มีตำแหน่งบริหารบ้านเมืองสูงสุด บางองค์ก็เป็นผู้อวตารโดยไม่มีประวัติว่าอวตารมาจากผู้ใด บางองค์ก็มิได้เป็นอวตาร
• ชีวิตในมุมหนึ่งของซับดรุง งาวังนัมเกล ถูกกล่าวขวัญไว้ในหนังสือของรัฐบาลภูฏานอย่างเลิศเลอ ในฐานะผู้มีอิทธิฤทธิ์ปราบผีร้ายที่มาขัดขวางการสร้างซองหรือการเผยแผ่ธรรม ผีหรือมารร้ายที่มีตัวตนนัยหนึ่งนั้นก็คือ สานุศิษย์ของลามะสังเดสีพุนโชนัมเกลที่สาวกทั้ง 5 เคยพ่ายแพ้ยับเยินไปนั่นเอง แต่ก็ส่งศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าเข้ามาราวีไม่วายเว้น มีครั้งหนึ่งเมื่องาวังนัมเกลไปบัญชาการสร้างซองที่เมืองซิมโทกา ก็ถูกข้าศึกก๊กนี้เข้าโอบล้อมรอบซองอยู่หลายวันเพื่อตัดเสบียง แต่ ซับดรุง งาวังนัมเกลก็อาศัยอิทธิฤทธิ์ขับไล่ศัตรูเจ้าเก่าหนีไปได้อีก และสร้างซิมโทกาซองจนสำเร็จในปี พ.ศ.2172 ณ เมืองนี้ ซับดรุง งาวังนัมเกล ได้บุตรชายที่เกิดจากนางทสีซัมดอลการ์โคมาเป็นรางวัล และตั้งนามบุตรชายว่า จัมเปลดอร์จี เมื่อเติบใหญ่ก็ให้เล่าเรียนศิลปศาสตร์แขนงต่างๆรวมทั้งพุทธศาสนานิกายดรุกปา หรือ ดรุกปะกัดยุ อันเป็นศาสนาประจำชาติภูฏานสืบต่อมา แม้ซับดรุง งาวังนัมเกล จะเอาชนะศัตรูและภูตผีปีศาจมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน แต่ท่านก็สิ้นชีพในปี พ.ศ.2196 ในขณะมีอายุเพียง 54 ปีเท่านั้น ด้วยโรคฝีดาษ
• ความตายของ งาวังนัมเกล ถูกปิดเป็นความลับนานราว 54 ปีจึงเปิดเผยสู่โลกภายนอก ศพงาวังนัมเกลบรรจุไว้ที่พูนาคา ซอง แม้ว่าพูนาคา ซอง จะถูกศัตรูบุกเผาถึง 5 ครั้ง แต่ศพของงาวังนัมเกลก็ยังคงสภาพอยู่ได้เพราะถูกเก็บไว้ในหลืบนิรภัยภายในซองยากที่ใครจะทำลายได้ เมื่อลามะสังเดสีพุนโชนัมเกลทราบว่าศัตรูคู่อาฆาตมรณภาพก็ล้างบาปทางกายและทางใจที่มีซับดรุง งาวังนัมเกล ด้วยการสร้างเหรียญจารึกมันตระด้วยมนตรา 16 บท มีข้อความยกย่องตนเองข่มผู้อื่น และการจะเป็นผู้ยกระดับคำสอนของนิกายดรุกปาสืบต่อไป
• เมื่อข่าวการมรณภาพของ ซับดรุง งาวังนัมเกล แพร่ออกไปในกาลต่อมา ความระส่ำระสายในบ้านเมืองก็เกิดขึ้น ผู้สืบทอดตำแหน่งไม่ได้รับความเชื่อถือจากบรรดาผู้นำหัวเมืองเหมือนที่เคยเป็นมา ศูนย์กลางแห่งอำนาจเริ่มสั่นคลอน ในช่วงเวลานั้นจักรวรรดินิยมอังกฤษได้เคลื่อนทัพมายังดินแดนแถบนี้ เกิดการสู้รบระหว่างชายแดนรอยต่อของรัฐเบงกอล-อัสสัมของอินเดียและบริเวณตอนใต้ของภูฏาน
• การสู้รบดำเนินอยู่ราวสองปี (ระหว่างปี พ.ศ.2407-2408) ภูฏานอยู่ในยุทธภูมิที่ดีกว่า และเชี่ยวชาญการรบในหุบเขาจึงสามารถต้านทานการรุกรานของอังกฤษไว้ได้ วีรบุรุษแห่งการสู้รบในครั้งนั้นคือ เพนลอปจิกมี นัมเกล วังชุก ผู้นำฝ่ายฆราวาสจากเมืองตองสา

• ราชวงศ์ภูฏาน : ยุคราชวงศ์วังชุก
• เริ่มต้นนับจากท่าน อูเก็น วังชุก ( Ugyen Wangchuk) บุตรชายของท่านจิกมี นัมเกล (Jigme Namgyel ค.ศ. 1825 - 1882)
• จิกมี นัมเกล วังชุก เจ้าเมืองตองสา เมื่อชนะศึกภายนอกแล้วก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำฝ่ายฆราวาส แต่ศึกภายในยังไม่สงบ ได้เกิดความขัดแย้งกับสังฆราชาผู้นำศาสนจักรในขณะนั้น ไม่ลงรอยกันในการปกครองเมืองพาโร ทำให้เกิดการสู้รบกัน ชาวดรุกยุลส่วนมากเข้าร่วมสนับสนุน จิกมี นัมเกล ร่วมรบเต็มกำลัง เมื่อจิกมี นัมเกล ได้รับชัยชนะจึงแต่งตั้งให้ อุเกน วังชุก บุตรชายเป็นเจ้าเมืองพาโร แต่บรรดาแว่นแคว้นก็ยังไม่ยอมสยบ จิกมี นัมเกล จึงนำกำลังออกปราบจนราบคาบ และได้อำนาจการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ หลังจากรวมเมืองใหญ่น้อยเป็นหนึ่งเดียว จิกมี นัมเกล วังชุก จึงเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์วังชุก โดยมี อุเกน วังชุก ผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบิดาร่วมปกครองเมืองสำคัญ เป็นรัชทายาท
• ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2440 คณะสงฆ์ที่ปรึกษาแห่งรัฐและผู้ปกครองเมืองต่างๆรวมทั้งราษฎรต่างก็ยินยอมพร้อมใจมาขุมนุมที่เมืองพูนาคาลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ อุเกน วังชุก เป็นพระราชาธิบดีองค์ที่ 2 แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ในช่วงของรัชกาลที่ 1 จิกมี นัมเกล วังชุก และ รัชกาลที่ 2 อุเกน วังชุก ภูฏานยังเป็นเมืองปิด ยังไม่มีการติดต่อทางการค้ากับต่างประเทศ จะมีบ้างก็เป็นตัวแทนจากบริษัทอีสต์อินเดียเข้ามาเพื่อหาลู่ทางการค้าเท่านั้น
• อุเกน วังชุก สวรรคตในปี พ.ศ.2468 พระราชโอรสพระนามว่า จิกมี ดอร์จี วังชุก ขึ้นครองราชย์ต่อจากบิดาเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในปี พ.ศ. 2495 สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 3 จิกมี ดอร์จี วังชุก ทรงได้สมญานามว่า “พระบิดาแห่งภูฏานยุคใหม่” พระองค์นำภูฏานเข้าสู่แผนพัฒนาแห่งชาติแห่งชาติ ทรงเปิดรับวิทยาการสมัยใหม่
1.ส่งนักเรียนไปศึกษาประเทศ
2.พัฒนาด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
3.เริ่มมีการคมนาคมโดยรถยนต์
4.มีธรรมนูญการปกครองประเทศ
5.จัดตั้งสภาแห่งชาติ
6.เปิดรับการค้าและการช่วยเหลือจากต่างประเทศจากการนำประเทศเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ในปี พ.ศ. 2514 และทรงพยายามปรับปรุงมาตรฐานชีวิตของชาวภูฏานตลอดมา
• แต่พระราชาธิบดี จิกมี ดอร์จี วังชุก ก็มีพระชนมายุสั้น พระองค์สวรรคตที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2515
จิกมี ซิงเย วังชุก มกุฎราชกุมาร เข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2517 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ขณะมีพระชนมายุ 18 พรรษา ท่ามกลางอาคันตุกะผู้มีเกียรติจากนานาประเทศ ในท่ามกลางพระราชพิธีทางโหราศาสตร์ ศาสนศาสตร์ และจารีตประเพณีแต่โบราณกาล หลังจากขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ได้รับการขนานนามว่าเป็น“พระบิดาแห่งปวงชน” จากการที่ทรงมีนโยบายยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาประเทศ
• สมเด็จพระราชาธิบดีที่ 4 เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระราชาธิบดีที่ 3 จิกมี ดอร์จี วังชุก และพระราชินีอาชิ เยซาง โชเดน วังชุก ประสูติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ได้รับการศึกษาทางด้านจารีตประเพณี ทั้งทางราชอาณาจักรและทางศาสนา ทรงศึกษาต่อที่เซนต์โยเซฟคอลเลจ เมืองดาร์จีลิง ประเทศอินเดีย เข้าศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ จากนั้นกลับมาศึกษาที่สถานศึกษาอูเก็น วังชุก
• สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏานได้ประกาศพระราโชบายในการปกครองประเทศ โดยการวัดความสำเร็จของประเทศจากความสุขมวลรวมของประชาชาติ (GNH-Gross National Happiness) เป็นสำคัญ
• จากการสำรวจรายได้มวลรวม ชนชาวภูฏานจะมีระดับรายได้ อันดับ 191 ของโลก แต่จากการสำราจความสุขมวลรวมของประชาชนแต่ละประเทศในโลก ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ของอังกฤษ เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ปรากฏว่า ประเทศภูฏานอยู่อันดับ 8 ของชนชาติที่มีความสุขที่สุดในโลก โดยจัดอันดับดังนี้
1.ชาวเดนมาร์ก
2.สวิตเซอร์แลนด์
3.ออสเตรีย
4.ไอซ์แลนด์
5.บาฮามาส
6.ฟินแลนด์
7.สวีเดน
• ในขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 76 นักสำรวจได้ส่งแบบสอบถามในหัวข้อต่างๆมากกว่า 100 ข้อ เพื่อสอบถามผู้คนจากทั่วโลก 8,000 คน โดยให้วัดความสุขจากชีวิตความเป็นอยู่ ระบบสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ผลผลิตมวลรวม การศึกษา เป็นต้น ควบคู่กับการบำเพ็ญเพียรตามหลักศาสนา นั่นคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวภูฏาน ภูฏานได้กำหนดลงลึกนโยบาย 4 ประการ คือ
1.เศรษฐกิจพอเพียงตามแบบอย่างพระเจ้าอยู่หัวของไทย
2.การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3.การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม
4. การปกครองโดยหลักธรรมาภิบาล
• ปี พ.ศ.2541 พระราชกฤษฎีกาผ่านการรับรองของสมัชชาแห่งชาติ กำหนดไว้ว่า สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี ซิงเย วังชุกจะไม่ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสณะรัฐบาลอีกต่อไป มีหัวหน้ารัฐบาลคือ ประธานสภาคณะมนตรี ซึ่งคัดเลือกจากรัฐมนตรี 6 คน คือ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและการศึกษา โดยหมุนเวียนกันดำรงตำแหน่งประธานสภาคณะมนตรี คราวละ 1 ปี ปฏิบัติหน้าที่เทียบเท่านายกรัฐมนตรี
• ปี พ.ศ.2548 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเสร็จสิ้น โดยศึกษารัฐธรรมนูญของไทยเป็นต้นแบบ เทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญอีก 150 ประเทศ รัฐธรรมนูญภูฏานจะประกาศใช้ในปี พ.ศ.2551 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของพระมหากษัตริย์และอำนาจการบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรีในระบอบรัฐสภา ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทน 75 คน วุฒิสภา 25 คน กำหนดให้มีพรรคการเมือง 2 พรรค กำหนดวาระการครองราชย์ของพระราชาธิบดีให้อยู่ในตำแหน่งจนถึงอายุ 65 พรรษา
• ภูฏานได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นวาระที่ภูฏานมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ครบ 100 ปี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นวันชาติภูฏาน สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ชิงเย นัมเกล วังชุก ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประกาศจะทรงสละราชบัลลังก์ให้กับมกุฎราชกุมาร จิกมี เคเชอร์ นัมเกล วังชุก ในปี พ.ศ.2551
• การประกาศสละราชบังลังก์ของพระราชาธิบดีจิกมี นัมเกล วังชุก ได้สร้างความตกตะลึงให้กับชาวภูฏานเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ชาวภูฏานยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาในกษัตรยิ์ และมกุฏราชกุมาจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งได้ประกอบพระราชกรณียกิจร่วมกับพระราชาธิบดีมาโดยตลอด อันที่จริงแล้ว ชาวภูฏานส่วนใหญ่ยังต้องการให้ภูฏานปกครองด้วยระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์ต่อไป เนื่องจากเกรงว่าเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอาจก่อให้เกิดปัญหาความวุ่นวายและการฉ้อราษฎร์บังหลวงภายในประเทศ เหมือนเช่นประเทศเพื่อนบ้าน
• การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลักษณะค่อยเป็นไปของภูฏานดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ผู้นำประเทศเห็นว่า ภูฏานนั้นจำเป็นจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมโลกและปัญหาท้าทายใหม่ๆ พร้อมทั้งสามารถตอบสนองกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
• หลายประเทศเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยการปฏิวัติ แต่การปฏิรูปการปกครองในภูฏานกลับเริ่มต้นจากเบื้องบน โดยเน้นไปทางจำกัดอำนาจตัวเอง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ให้อำนาจสมัชชา แห่งชาติในการบริหารประเทศ โดยมีจำนวน 150 คน ดำรงตำแหน่ง 3 ปี มีอำนาจใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ถอดถอนกษัตริย์ได้
• ปัจจุบัน ราชอาณาจักรภูฏานมีองค์พระมหากษัตริย์เป็ประมุข ภายใต้การปกครอง โดย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย นัมเกล วังชุก ทรงปกครองประเทศโดยมีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษา และสภาแห่งชาติที่เรียกว่า ซงดู (Tsongdu) ทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ประกอบด้วยสมาชิก 151 คน
• สมัชชาแห่งชาตินั้น 105 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งระดับหมู่บ้าน 10 ที่นั่งมาจากตัวแทนศาสนา และ 55 ที่นั่ง มาจากการคัดเลือกของกษัตริย์ ทั้งหมดมีอำนาจในการรับรองคณะรัฐมนตรีที่กษัตริย์เป็นผู้เสนอชื่อหัวหน้าคณะรัฐมนตรีเป็นผู้นำรัฐบาล คณะรัฐมนตรีมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
• นิตยสารไทม์ ได้ประกาศยกย่องให้สมเด็จพระราชาธิบดีซิงเย วังชุก เป็น 1 ใน 100 ของบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกในปี พ.ศ. 2549 ในฐานะที่ชีวิตและผลงานของพระองค์สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตคนอื่นๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม ชาวภูฏานต่างยึดมั่นในพุทธศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

• การขึ้นครองราชย์ในราชวงศ์ภูฏาน ในรัชสมัยราชวงศ์วังชุก
• ภายหลังการขึ้นครองราชย์บัลลังก์ภูฏาน กษัตริย์จิกมี ซิงเย วังชุก ได้เข้าสู่พระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชินีพร้อมกัน 4 องค์ คือ
1.พระราชินี ดอร์จี วังโม วังชุก
2.พระราชินี เชอริง เพม วังชุก
3.พระราชินี เชอริง ยังเดน วังชุก
4.พระราชินี ซังเก โชเดน วังชุก
• ทั้ง 4 พระองค์เป็นธิดาของ ยับอูเกน ดอร์จี ผู้บิดา และยุมทิน เล โซเตน ผู้เป็นมารดา ครอบครัวของพระองค์มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 6 คน ทั้งสี่ คนเป็นธิดาคนที่ 3 ถึง คนที่ 6 ตามลำดับ
• อูเกน ดอร์จี ผู้บิดาเป็นนักธุรกิจใหญ่ มีกิจการค้าครอบคลุมไปทั้งภูฏาน และเป็นตัวแทนที่ชาวต่างประเทศจะมาค้าขายติดต่อขายด้วย ยุคแรกจะเป็นการค้าเกลือในแบบแลกเปลี่ยนสินค้า ต่อมาเป็นกิจการเหมืองแร่ และการส่งออกธุรกิจส่งออกพืชผักผลไม้ดอกไม้เมืองหนาวที่กำลังได้ผลในภูฏาน
• ชาวภูฏานจะไม่มีนามสกุล แต่เป็นที่รู้กันในหมู่บ้านหรือในชุมชนว่า ชื่อนั้น ชื่อนี้ สืบสายมาจากที่ไหนบ้าง ราชินีทั้ง 4 องค์ มีคำลงท้ายว่า วังชุก ตามชื่อที่ 3 ของกษัตริย์ซึ่งเป็นเสมือนชื่อราชวงศ์ ในภูฏานจะถ้าชายมีภรรยา 2-4 คน หรือมากกว่านั้น ถือเป็นเรื่องปกติ ในขณะเดียวกัน ถ้าฝ่ายหญิงก็จะสามารถมีสามี 2- 4 คนได้ และสามีหรือภรรยาส่วนที่เกินหนึ่งคนนั้น ก็มักจะเป็นญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายนั่นเอง และทุกคนต่างอยู่ในครัวเรือนเดียวกันอย่างสามัคคียิ่ง ตามราชประเพณีดั้งเดิม จึงถือว่า ราชินีทั้ง 4 พระองค์มีฐานะเป็นราชินีเท่าเทียมกัน มีศักดิ์และสิทธิ์เหมือนกันทุกประการ
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุกทรงได้รับการยกย่องจากชาวภูฏานรวมถึงชาวไทยส่วนใหญ่ว่าทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม และเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวภูฏาน
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังซุก ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า จากการที่ทรงวางพระองค์อย่างเป็นกันเองในหมู่ประชาชน จึงสร้างความประทับใจแก่พสกนิกรอย่างสูง ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ต้องทรงรับพระราชภารกิจการบริหารประเทศ เนื่องจากสมเด็จพระราชบิดาได้ทรงวางระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นมาอยู่ ก่อนแล้ว แต่พระองค์เองก็ยังทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ในการสร้างเอกภาพและเสถียรภาพ ในประเทศที่มีประชากรเพียง 650,000 คน โดยมุ่งเน้นด้านความสุขมวลรวมของประชากรภายในประเทศเป็นสำคัญ
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงฉลองพระองค์สีแดงทองที่เป็นชุดคลุมยาวปิดเข่าอันเรียกกันว่า "โฆ" ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติของชายชาวภูฏาน ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองคำ พระพักตร์เคร่งขรึม แต่ก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยขณะทรงรับเครื่องถวายแด่สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ ใหม่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังทรงมีพระบรมราโชวาทแก่พสกนิกรหลายพันคนที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ในตอนบ่าย ของวันเดียวกันว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใด" "สิ่งที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้าคือความหวังและความมุ่งมาดปรารถนาของ ประชาชน และพระชนมายุอันยืนยาวและพระพลานามัยอันแข็งแรงสำหรับสมเด็จพระราชบิดา จิกมี ซิงเย วังชุก ของข้าพเจ้า" "ในโอกาสอันพิเศษยิ่งนี้ ขอให้ร่วมกันสวดมนต์และขออธิษฐานขอให้แสงตะวันเฉิดฉันแห่งความสุขจะสาดส่อง ลงมาที่ประเทศชาติของเราเสมอไป"
• นอกจากประชาชนหลายพันคนที่มารวมตัวกันถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งประกอบพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ยังมีแขกสำคัญที่ร่วมในพิธีดังกล่าวคือ ประธานาธิบดีประติภา ปาติลแห่งอินเดีย และนางโซเนีย คานธี นักการเมืองคนสำคัญของอินเดียพร้อมด้วยบุตรธิดา เนื่องจากครอบครัวคานธีนั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ภูฏาน
 
ตองสา (Tongsa) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์วังชุก
 
 
 
 

• เมืองตองสา (Tongsa) แหล่งกำเนิดของราชวงศ์วังชุก
• ตองสา แปลว่า หมู่บ้านใหม่ อยู่ในภูฏานตอนกลาง ตั้งอยู่บนความสูง 2,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ในอดีต ตองสาเปรียบเสมือนเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งของภูฏาน ด้วยป้อมปราการแห่งนี้ปกครองโดยเจ้าเมืองผู้สืบทอดมาเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์วังชุกในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ มกุฏราชกุมารแห่งราชวงศ์วังชุกทุกคน จะได้ครองตำแหน่งผู้ปกครองเขตตองสา ซึ่งเรียกว่า โชเสะ เป็นลอป (Choetse Penlop)
• ตามประวัติกล่าวว่า พระลามะงากิ วังชุก (Ngagi Wangchuck) ในระหว่าง ค.ศ.1517-1554 ซึ่งเป็นปู่ทวดของซับดรุง งาวัง นัมเกล ได้สร้างวัดเล็กๆ ขึ้นที่หุบเขาแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1543 โดยได้สร้างวัดเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ก็เพราะเกิดจากการนั่งวิปัสนากรรมฐานของท่าน ได้เห็นลำแสงเลยเดินไปตามนั้น ซึ่งท่านถือเป็นนิมิตหมายในการสร้างวัดตรงที่ลำแสงนั้นหยุดนิ่ง
• ต่อมา ในปีค.ศ. 1647 ซับดรุง งาวัง นัมเกลได้เล็งเห็นการขยายอิทธิพลมาฝั่งตะวันออกของประเทศ จึงสร้างซองขึ้นในที่ที่บรรพบุรุษของท่านได้สร้างวัดไว้ จากนั้นมีการต่อเติมขยับขยายในหลายยุคหลายสมัย และยังได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหม่ในรัชสมัยขององค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชุก

• ตองสา เป็นเมืองกำเนิดของพระราชวงศ์วังชุก
• ซึ่งเริ่มจากปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์วังชุก (ค.ศ. 1907-1926) เดิมเป็นเจ้าเมืองตองสามาก่อน กษัตริย์ภูฏานถึงสองพระองค์ทรงเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองนี้จนเป็นธรรมเนียมว่า มกุฏราชกุมารของภูฏาน จะต้องได้รับตำแหนงเจ้าเมืองตองสาก่อนที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ผู้ปกครองฝ่ายสงฆ์จะมพำนักที่เมืองตองสาในฤดูหนาว และย้ายไปอยู่ที่เมืองบุมทังในฤดูร้อน เดิมทีเมืองนี้มีชาวทิเบตอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นจำนวนมาก แต่นานวันเข้าชาวทิเบตก็ถูกกลืนด้วยวัฒนธรรมภูฏาน จนกระทั่งในที่สุด ก็ไม่เหลือร่องรอยของชาวทิเบตในเมืองนี้อีกเลย
• หลังจากที่ท่านซับดรุง มรณภาพในปี ค.ศ. 1651 บ้านเมืองระส่ำระสายอีกครั้ง มีสงครามกลางเมืองแย่งชิงความเป็นใหญ่ ครั้นพอถึงปลายศตวรรษที่ 19 อำนาจการปกครองแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่ายใหญ่ๆ ฝ่ายหนึ่งมีผู้ว่าราชการปาโร (Paro Penlop) ครอบครองพื้นที่ซีกตะวันตก ในขณะที่ผู้ว่าการตองสา (Tongsa Penlop) ชื่อว่า จิกมี นัมเกล (Jigme Namgyel) ครอบครองพื้นที่ภาคกลางตลอดจนซีกตะวันออกของประเทศ
• เนื่องด้วยอุกเยน วังชุก (Ugyen Wangchuck) ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตองสาสืบต่อจากจิกมี นัมเกล ผู้เป็นบิดา อีกทั้งอุกเยน วังชุก สามารถรวบรวมอาณาจักรภูฏานเข้าเป็นปึกแผ่นเดียวกันอีกครั้ง ดังนั้น ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1907 จึงได้รับเลือกเป็นเอกฉันท์ให้เป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งประเทศภูฏาน ซึ่งตามธรรมเนียมข้างต้น มกุฏราชกุมารแห่งราชวงศ์วังชุกทุกพระองค์จะทรงดำรงพระยศเป็น “ผู้ว่าการตองสา” (Tongsa Penlop) ควบคู่ไปอีกหนึ่งตำแหน่ง
• ในศตวรรษที่ 19 ที่นี่เป็นราชธานีของภูฏาน เพราะความสำคัญและอำนาจที่เป็นลปแห่งตงซามีอยู่อย่างล้นเหลือเหนือเขตภาคตะวันออก ภาคกลาง และที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ในภาคใต้ ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มีเป็นลปท่านหนึ่งสั่งสมอิทธิพลจนเรืองอำนาจยิ่งกว่าเป็นลปท่านใดในแผ่นดิน นั่นคือ ท่านจิกมี นัมเกล บิดาของท่านอูเก็น วังชุก ซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งภูฏานในสมัยต่อมา
• บ้านเกิดของท่านจิกมี นัมเกลอยู่ที่กูร์เต (ปัจจุบันคือเขตปกครองฮุนซี) แต่ตัวท่านมารุ่งเรืองจนมีบารมีเป็นที่ยอมรับอยู่ที่ตองสาซอง ไม่ช้าก็ก้าวขึ้นมามีบทบาทอันโดดเด่นในระดับประเทศ ภายหลังท่านอูเก็นวังชุกผู้เป็นบุตรชายได้ขึ้นสืบทอดตำแหน่งเป็นลปแห่งตองสาต่อจากท่าน ทำให้เกิดมีธรรมเนียมตามมาว่า เจ้าฟ้ามกุฏราชกุมารแห่งภูฏานจะต้องขึ้นเฉลิมพระยศเป็นโซเซ เป็นลปสืบมานับจากนั้น (หมายถึง ตำแหน่งเป็นลปแห่งตองสา แต่เรียกว่าโซเซตามชื่อทางศาสนาของป้อม)

• ตองสาซอง (Tongsa Dzong) หรือ โชเสะซอง (Choetse Dzong)
• ได้รับการยกย่องว่าเป็นซองที่น่าประทับใจมากที่สุด ในอาณาจักรภูฏาน ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง เหนือแม่น้ำแมงเด กล่าวกันว่า สูงกว่าก้อนเมฆของภูฏานเสียอีก ตองสาซองเป็นทั้งป้อมปราการทหาร พระราชวัง และวัด โดยภายในประกอบไปด้วยวัดถึง 23 แห่ง มีพระประมาณ 200 กว่ารูป
• ตองสาซอง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2187 โดยท่าน Chhogyel Mingyur Tenpa คนของท่านซับดรุง นาวัง นัมเกล ซึ่งส่งมาให้สร้างเมืองทางทิศตะวันออก ผู้ปกครองตองสาคนต่อมาได้ก่อสร้างขยายเพิ่มเติม จนมีขนาดที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
• หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1897 ทางการได้บูรณะตองสาซองขึ้นใหม่หลายครั้ง โดยเฉพาะในรัชกาลพระเจ้าอูเก็น วังชุก (รัชกาลที่ 1 แห่งภูฏาน) ในขณะที่วิหารเซ็นเรชิกนั้นมาบูรณะกันในรัชกาลที่พระเจ้าจิกมี วังชุก (รัชกาลที่ 2 ของภูฏาน) เมื่อปี ค.ศ.1927 และซ่อมใหญ่อีกครั้งในปี ค.ศ.1999 ด้วยความช่วยเหลือจากออสเตรียจนแล้วเสร็จสมบูรณ์และประกอบพิธีสมโภชไปเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2004
• ตองสาซองประกอบด้วยสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ มีวิหารและหอบูชามากถึง 25 หลัง ที่สำคัญคือ หอบูชาเทพยมานตกะ หอบูชาเทพจักรสัมวระ และหอบูชาเทพกาฬจักร นอกจากนี้ยังมีพระเมตไตรยกับวิหารเจดีย์อีกสองหลัง หลังแรกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1771 ภายในประดิษฐานพระเมตไตรยองค์ใหญ่ปั้นขึ้นจากดินเหนียว ตามพระราชบัญชาของพระเจ้าอูเก็น วังชุก ส่วนวิหารเจดีย์นั้นสร้างทับตำแหน่งวัดหลังแรกสุด ภายในมีเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของท่านงากี วังชุก และมีภาพจิตรกรรมเป็นภาพ 16 อรหันต์กับภาพพระอักโษภยพุทธเจ้า
• ตองสาซองในทุกวันนี้ยังเป็นทั้งศูนย์กลางการบริหารของเขตตองสา และเป็นทั้งวัดหลักประจำเขต ซึ่งประกอบด้วยโบสถ์ 23 แห่ง องค์ประธานในโบสถ์หลักคือ พระสณีอริยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าในอนาคต) ซึ่ง Maitreya Temple นี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1771 ส่วนอัฐิของพระลามะงากิ วังชุก ได้เก็บไว้ใน Temple of Chourtens ซึ่งตั้งอยู่ส่วนปลายสุดของซอง อันเป็นตำแหน่งที่พระลามะงากิ วังชุก ได้ก่อตั้งวัดเล็กๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก วัดที่สำคัญที่สุดคือวัดแห่งพระศรีอารยเมตไตรย์ นอกจากนี้ ภายในบริเวณซองยังมีโรงพิมพ์เกี่ยวกับศาสนา ซึ่งยังใช้วิธีการพิมพ์แบบดั้งเดิมด้วยบล๊อกไม้
• ตาซอง (หอสังเกตุการณ์) ตั้งอยู่บนไหล่เขาทางด้านตะวันออกของตองสาซอง ซึ่งตาซองแห่งนี้ ในอดีตเคยใช้สอดส่องดูข้าศึกที่จะเข้ามารุกราน เป็นหอทรงแคบ มีปีกยื่นออกจากตัวหอหลักเป็นรูปตัว V เป็นวัดเล็กๆ ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1977 สร้างถวายอุทิศแด่เทพกษัตริย์ เคซาร์ (Gesor) ผู้เป็นเทพนักรบและวีรบุรุษในตำนานของภูฏาน ทางการได้ร่วมมือกับทางออสเตรียบูรณะหอบูชาหลังนี้ขึ้นใหม่และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 2008

ตองสา (Tongsa) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์วังชุก

• เมืองตองสา (Tongsa) แหล่งกำเนิดของราชวงศ์วังชุก
• ตองสา แปลว่า หมู่บ้านใหม่ อยู่ในภูฏานตอนกลาง ตั้งอยู่บนความสูง 2,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ในอดีต ตองสาเปรียบเสมือนเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งของภูฏาน ด้วยป้อมปราการแห่งนี้ปกครองโดยเจ้าเมืองผู้สืบทอดมาเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์วังชุกในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ มกุฏราชกุมารแห่งราชวงศ์วังชุกทุกคน จะได้ครองตำแหน่งผู้ปกครองเขตตองสา ซึ่งเรียกว่า โชเสะ เป็นลอป (Choetse Penlop)
• ตามประวัติกล่าวว่า พระลามะงากิ วังชุก (Ngagi Wangchuck) ในระหว่าง ค.ศ.1517-1554 ซึ่งเป็นปู่ทวดของซับดรุง งาวัง นัมเกล ได้สร้างวัดเล็กๆ ขึ้นที่หุบเขาแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1543 โดยได้สร้างวัดเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ก็เพราะเกิดจากการนั่งวิปัสนากรรมฐานของท่าน ได้เห็นลำแสงเลยเดินไปตามนั้น ซึ่งท่านถือเป็นนิมิตหมายในการสร้างวัดตรงที่ลำแสงนั้นหยุดนิ่ง
• ต่อมา ในปีค.ศ. 1647 ซับดรุง งาวัง นัมเกลได้เล็งเห็นการขยายอิทธิพลมาฝั่งตะวันออกของประเทศ จึงสร้างซองขึ้นในที่ที่บรรพบุรุษของท่านได้สร้างวัดไว้ จากนั้นมีการต่อเติมขยับขยายในหลายยุคหลายสมัย และยังได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหม่ในรัชสมัยขององค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชุก

• ตองสา เป็นเมืองกำเนิดของพระราชวงศ์วังชุก
• ซึ่งเริ่มจากปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์วังชุก (ค.ศ. 1907-1926) เดิมเป็นเจ้าเมืองตองสามาก่อน กษัตริย์ภูฏานถึงสองพระองค์ทรงเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองนี้จนเป็นธรรมเนียมว่า มกุฏราชกุมารของภูฏาน จะต้องได้รับตำแหนงเจ้าเมืองตองสาก่อนที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ผู้ปกครองฝ่ายสงฆ์จะมพำนักที่เมืองตองสาในฤดูหนาว และย้ายไปอยู่ที่เมืองบุมทังในฤดูร้อน เดิมทีเมืองนี้มีชาวทิเบตอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นจำนวนมาก แต่นานวันเข้าชาวทิเบตก็ถูกกลืนด้วยวัฒนธรรมภูฏาน จนกระทั่งในที่สุด ก็ไม่เหลือร่องรอยของชาวทิเบตในเมืองนี้อีกเลย
• หลังจากที่ท่านซับดรุง มรณภาพในปี ค.ศ. 1651 บ้านเมืองระส่ำระสายอีกครั้ง มีสงครามกลางเมืองแย่งชิงความเป็นใหญ่ ครั้นพอถึงปลายศตวรรษที่ 19 อำนาจการปกครองแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่ายใหญ่ๆ ฝ่ายหนึ่งมีผู้ว่าราชการปาโร (Paro Penlop) ครอบครองพื้นที่ซีกตะวันตก ในขณะที่ผู้ว่าการตองสา (Tongsa Penlop) ชื่อว่า จิกมี นัมเกล (Jigme Namgyel) ครอบครองพื้นที่ภาคกลางตลอดจนซีกตะวันออกของประเทศ
• เนื่องด้วยอุกเยน วังชุก (Ugyen Wangchuck) ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตองสาสืบต่อจากจิกมี นัมเกล ผู้เป็นบิดา อีกทั้งอุกเยน วังชุก สามารถรวบรวมอาณาจักรภูฏานเข้าเป็นปึกแผ่นเดียวกันอีกครั้ง ดังนั้น ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1907 จึงได้รับเลือกเป็นเอกฉันท์ให้เป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งประเทศภูฏาน ซึ่งตามธรรมเนียมข้างต้น มกุฏราชกุมารแห่งราชวงศ์วังชุกทุกพระองค์จะทรงดำรงพระยศเป็น “ผู้ว่าการตองสา” (Tongsa Penlop) ควบคู่ไปอีกหนึ่งตำแหน่ง
• ในศตวรรษที่ 19 ที่นี่เป็นราชธานีของภูฏาน เพราะความสำคัญและอำนาจที่เป็นลปแห่งตงซามีอยู่อย่างล้นเหลือเหนือเขตภาคตะวันออก ภาคกลาง และที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ในภาคใต้ ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มีเป็นลปท่านหนึ่งสั่งสมอิทธิพลจนเรืองอำนาจยิ่งกว่าเป็นลปท่านใดในแผ่นดิน นั่นคือ ท่านจิกมี นัมเกล บิดาของท่านอูเก็น วังชุก ซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งภูฏานในสมัยต่อมา
• บ้านเกิดของท่านจิกมี นัมเกลอยู่ที่กูร์เต (ปัจจุบันคือเขตปกครองฮุนซี) แต่ตัวท่านมารุ่งเรืองจนมีบารมีเป็นที่ยอมรับอยู่ที่ตองสาซอง ไม่ช้าก็ก้าวขึ้นมามีบทบาทอันโดดเด่นในระดับประเทศ ภายหลังท่านอูเก็นวังชุกผู้เป็นบุตรชายได้ขึ้นสืบทอดตำแหน่งเป็นลปแห่งตองสาต่อจากท่าน ทำให้เกิดมีธรรมเนียมตามมาว่า เจ้าฟ้ามกุฏราชกุมารแห่งภูฏานจะต้องขึ้นเฉลิมพระยศเป็นโซเซ เป็นลปสืบมานับจากนั้น (หมายถึง ตำแหน่งเป็นลปแห่งตองสา แต่เรียกว่าโซเซตามชื่อทางศาสนาของป้อม)

• ตองสาซอง (Tongsa Dzong) หรือ โชเสะซอง (Choetse Dzong)
• ได้รับการยกย่องว่าเป็นซองที่น่าประทับใจมากที่สุด ในอาณาจักรภูฏาน ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง เหนือแม่น้ำแมงเด กล่าวกันว่า สูงกว่าก้อนเมฆของภูฏานเสียอีก ตองสาซองเป็นทั้งป้อมปราการทหาร พระราชวัง และวัด โดยภายในประกอบไปด้วยวัดถึง 23 แห่ง มีพระประมาณ 200 กว่ารูป
• ตองสาซอง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2187 โดยท่าน Chhogyel Mingyur Tenpa คนของท่านซับดรุง นาวัง นัมเกล ซึ่งส่งมาให้สร้างเมืองทางทิศตะวันออก ผู้ปกครองตองสาคนต่อมาได้ก่อสร้างขยายเพิ่มเติม จนมีขนาดที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
• หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1897 ทางการได้บูรณะตองสาซองขึ้นใหม่หลายครั้ง โดยเฉพาะในรัชกาลพระเจ้าอูเก็น วังชุก (รัชกาลที่ 1 แห่งภูฏาน) ในขณะที่วิหารเซ็นเรชิกนั้นมาบูรณะกันในรัชกาลที่พระเจ้าจิกมี วังชุก (รัชกาลที่ 2 ของภูฏาน) เมื่อปี ค.ศ.1927 และซ่อมใหญ่อีกครั้งในปี ค.ศ.1999 ด้วยความช่วยเหลือจากออสเตรียจนแล้วเสร็จสมบูรณ์และประกอบพิธีสมโภชไปเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2004
• ตองสาซองประกอบด้วยสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ มีวิหารและหอบูชามากถึง 25 หลัง ที่สำคัญคือ หอบูชาเทพยมานตกะ หอบูชาเทพจักรสัมวระ และหอบูชาเทพกาฬจักร นอกจากนี้ยังมีพระเมตไตรยกับวิหารเจดีย์อีกสองหลัง หลังแรกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1771 ภายในประดิษฐานพระเมตไตรยองค์ใหญ่ปั้นขึ้นจากดินเหนียว ตามพระราชบัญชาของพระเจ้าอูเก็น วังชุก ส่วนวิหารเจดีย์นั้นสร้างทับตำแหน่งวัดหลังแรกสุด ภายในมีเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของท่านงากี วังชุก และมีภาพจิตรกรรมเป็นภาพ 16 อรหันต์กับภาพพระอักโษภยพุทธเจ้า
• ตองสาซองในทุกวันนี้ยังเป็นทั้งศูนย์กลางการบริหารของเขตตองสา และเป็นทั้งวัดหลักประจำเขต ซึ่งประกอบด้วยโบสถ์ 23 แห่ง องค์ประธานในโบสถ์หลักคือ พระสณีอริยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าในอนาคต) ซึ่ง Maitreya Temple นี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1771 ส่วนอัฐิของพระลามะงากิ วังชุก ได้เก็บไว้ใน Temple of Chourtens ซึ่งตั้งอยู่ส่วนปลายสุดของซอง อันเป็นตำแหน่งที่พระลามะงากิ วังชุก ได้ก่อตั้งวัดเล็กๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก วัดที่สำคัญที่สุดคือวัดแห่งพระศรีอารยเมตไตรย์ นอกจากนี้ ภายในบริเวณซองยังมีโรงพิมพ์เกี่ยวกับศาสนา ซึ่งยังใช้วิธีการพิมพ์แบบดั้งเดิมด้วยบล๊อกไม้
• ตาซอง (หอสังเกตุการณ์) ตั้งอยู่บนไหล่เขาทางด้านตะวันออกของตองสาซอง ซึ่งตาซองแห่งนี้ ในอดีตเคยใช้สอดส่องดูข้าศึกที่จะเข้ามารุกราน เป็นหอทรงแคบ มีปีกยื่นออกจากตัวหอหลักเป็นรูปตัว V เป็นวัดเล็กๆ ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1977 สร้างถวายอุทิศแด่เทพกษัตริย์ เคซาร์ (Gesor) ผู้เป็นเทพนักรบและวีรบุรุษในตำนานของภูฏาน ทางการได้ร่วมมือกับทางออสเตรียบูรณะหอบูชาหลังนี้ขึ้นใหม่และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 2008






หน้าที่ :: 9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19  


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved