หลังจากส่งพ่อกลับบ้าน ชีวิตของฉันนับว่าโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
ในเวลานั้นพี่พี่ไปทำงานไกลไกลกันหมด
น้องรองและน้องเล็กมีเงินสะสมของพ่อเรียนจนจบ
และไปทำงานต่างจังหวัดทั้งสองคน
ฉันลงทำงานในพื้นที่สีชมพู พื้นที่ที่คุณหนูทั้งหลายปฏิเสธ
พื้นที่ที่ญาติผู้ใหญ่ให้ฉันไปสละสิทธิ
จังหวะที่พี่สันติ์ได้รับคำสั่งไปรับตำแหน่งใหม่ภาคใต้
พี่สันติ์ยื่นข้อเสนอและให้ฉันตัดสินใจ
...แต่..ฉันตัดสินใจแล้วไม่อาจเปลี่ยน...
ฉันไม่ได้พบพี่สันต์อีกเลย ..
ฉันไม่ลืมคืนวันดีดีและน้ำใจไมตรีที่หยิบยื่นให้
ระลึกถึงเสมอ และหวังให้เธอประสบความสำเร็จในชีวิต..
ฉันพอใจกับงานของฉัน วันนั้นฉันเริ่มเป็นผู้ใหญ่
หลายคนเคยสงสัยว่าฉันจะไปโลดเต้นอยู่ที่นั่นได้อย่างไร
บางคนวิตกทุกข์ร้อนหากฉันจะต้องไปตกระกำลำบาก
บางคนบอกไปสักปีแล้วย้ายเข้ามานะ..
พี่อัจน์ยังคงเสมอต้นเสมอปลายแต่หยุดการเขียนจดหมายแล้ว
คงระอิดระอาใจและเลิกคาดหวังกับฉันละมัง
จดหมายของเธอฉันเก็บไว้อย่างดีแต่ไม่เคยให้คำตอบ
ฉันฝังตัวเองอยู่ที่นั่นกว่าสามปี
สามปีกับชิวิตการทำงานที่สุดของสุข ฉันได้ทำงานตามอุดมการณ์
สามปีที่ผูกพันเหลือเกินกับธรรมชาติ
ผูกพันเหลือเกินกับน้ำใจและอัธยาศัยไมตรีอันงดงามของพี่น้องคนไทย
คนไทยแท้แท้ที่รักถิ่นฐานบ้านเกิดไม่ละทิ้งแม้จะมีภัยคุกคามทุกรูปแบบ
ฉันยืนอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของประเทศเพื่อนบ้าน
จนกระทั่งท้ายสุดฉันถูกกันออกมาจาก"พื้นที่เสี่ยง"
สิ่งที่เป็นประสบการณ์ทั้งหลายทั้งมวลจากที่นั่น
ฉันเก็บเกี่ยวส่งผลให้ฉันได้รับรางวัลชนะเลิศวรรณกรรม
วรรณกรรมชิ้นแรกที่เขียนด้วยหัวใจ
เขียนจากภาพที่ฉันเก็บมาทั้งหมดในชีวิตการทำงานด้วยใจรัก
จุดนั้นเป็นจุดผกผันชีวิตของฉันอีกครั้ง
ฉันพบชีวินกับใครอีกคนที่ห่างไกลเหลือเกิน..
ใครคนนั้น..
คนไทยในต่างแดนที่รู้จักฉันผ่านผลงานในนิตยสาร
ใครคนนั้น..
คนที่ต่างบ้านต่างเมือง ระเหระหนอยู่ในทะเลทราย..
ใครคนนั้น..
ที่นับว่าเป็นผู้พลิกผันชีวิตของฉันโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้รู้เลย..
ฉันไม่เคยเตรียมใจว่าอิสรภาพที่ไขว่คว้าของฉันเป็นอิสรภาพสีหม่น
หรือฉันก็เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ?