The clock keeps ticking. / /
The kids keep sticking things on the wall. / /
ความแตกต่างที่เกิดขึ้นในการออกเสียงคําที่ขีดเส้นใต้ แม้ว่าจะมีหน่วยเสี ยงเดียวกันนั้นเรียกว่าเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นที่ ช่วงต่อ (juncture) เมื่อทําการวิเคราะห์ตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นให้ ละเอียดมากขึ้น จะพบว่ามีความแตกตางดานความยาวของเสียงสระความหลากหลายของการลงน้ําหนักพยางค์การออกเสียงพยัญชนะที่มีระยะเวลาต่างกันและด้านความหลากหลายของเสียงย่อยในหน่วยเสียงเหมือนกัน ดังนั้นถึงแม้จะมีหน่วยเสียงเหมือนกันแต่ผู้ฟังจะไม่มีปัญหา (ส่วนใหญ่แล้ว) ในการบอกว่ามีช่วงต่อกันตรงไหนและบริบทก็มีความสําคัญเด่นชัดในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวอย่างอื่นๆ ที่ มีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น เช่น
That’s my train.
It might rain.
The great apes
The grey tapes
และในประโยคคู่นี้
Can I have some more ice?
Can I have some more rice?
การโยงเสียง /r/ อาจทําใหhเกิดความสับสนได้เมื่อมีช่วงต่อ แต่บริบทและความแตกต่างอันลุ่มลึกของการออกเสียงจะช่วยให้เราตัดสินได้ว่าเราได้ยินเสียงใด แต่ผู้เรียนอาจไม่มีพื้นความรู้ มากพอที่จะสามารถแยกความแตกต่างได้ พยัญชนะต่างๆ มักจะดูเหมือนว่าถูกดึงดูดข้ามขอบเขตของคําไป ตัวอย่างเช่น
You’ll need an egg, an olive and anchovy. (… a negg, a nolive and a nanchovy)
Put it on. (pu ti ton)
แน่นอนอยู่แล้วที่ไม่มีคําว่า negg, nolive และ nanchovy ในภาษาอังกฤษ แต่ในบางครั้งความบังเอิญก็เกิดขึ้นได้เมื่อมีช่วงต่อ และทําให้ผู้ฟังได้ยินคําที่ไม่ได?ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น
It’s no joke. (snow)
It’s tough. (stuff)
มีตัวอย่างเรื่องการฟังผิ ดแบบนี้ ซึ่งเป็นที่ รู้จักกันดีก็คือในเนื้อเพลงของนักร้องคนดังชื่อ Jimi Hendrex เพลง Purple Haze ซึ่งมีเนื้อร้องว่า
‘Scuse me, While I kiss the sky. แต?มีผู้ฟังเป็น ‘Scuse
me, While I kiss this guy. ตรงนี้มีการกลมกลืนเสียงเกิดขึ้นคือเสียง / k/ ในคําว่า sky ถูกกลืนกลายเป็นเสียง /g/