แถวนี้มีรัก
ด้วยเหตุผลหลายหลายอย่าง
ฉันตัดสินใจเช่าห้องพัก อยากจะเรียกว่า"คอนโด" กับเขามั่งแต่มันไม่ใช่
ห้องพักที่ข้างหน้าติดถนนสี่เลนสายหลัก ข้างหลังติดตลาดสดเทศบาล ชีวิตเปลี่ยนไปแต่สนุกดี..
มองคนเดินผ่านไปมาสารพัดรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะขลุกอยู่ข้างในมากกว่า
ข้างบ้านซ้ายเป็นครอบครัวเล็กเล็กขนาดใหญ่ เอะยังไง.. ก็มีลูกเล็กเล็กหลายคนงัย
ข้างขวาเป็นครอบครัวใหญ่ขนาดเล็ก ก็ลูกเล็กอีกแหล่ะ แต่อยู่หลายคนรวมทั้งญาติผู้ใหญ่อบอุ่น
ตื่นเช้าโดยปกติอยู่แล้วไม่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงปลุกข้างที่พักขนาบข้าง
เฮ่อ ..ฉันรอดตัว...ที่จอดรถเหรอ สบายมากจอดข้างถนนเลย
ไปทำงานแต่เช้าไม่ต้องกลัวว่ารถจะสัมผัสแดดเปรี้ยง
เสาร์อาทิตย์ค่อยเข้ามาเก็บในช่องเก็บรถด้านหน้า
เพื่อนบ้านแสนจะน่ารักมากช่วยฉันคลุมรถทุกวันบางวันมีผลไม้มาฝากด้วย (กี่คนจะเคยได้กินลูกหว้าสดๆ)
"เพือนบ้านดีเป็นศรีแก่ตัว" ฉันหยอด ผูกมิตรนะ..
เมื่อกลางเดือน..ฉันต้องผวาลุกขึ้นจากที่นอน เพราะเสียงแม่เด็กกริ๊ดๆๆๆจนทนไม่ได้ ไม่รู้สาเหตุ
แต่ฟังแล้วเหมือนจะอาการหนัก..ฟังเหมือนเลือดจะท่วมตัวเด็ก
ฉันมุดจากที่พักพาเด็กไปโรงพยาบาลทั้งที่มองไม่เห็นแผล
แต่ตัวแม่และเด็กทั้งสองคนร้องไห้เสียงดัง พร่ำรำพัน
"หนูขอโทษ..หนูจะไม่ทำอีกแล้ว" เสียงลูกสาวคนโตวัยสัก 9 ขวบอ้อนวอนแม่ที่พิร่ำพิไรอยู่
ลูกคนเล็กร้องไห้กว๊ากๆๆ ฉันถอยรถเหยียบกระถางว่านมหาโชคแตกอย่างคนไม่มีสมาธิ
เป็นอะไรยังไม่รู้เลย..พยายามจะดูบาดแผลเด็กก้อไม่มี
ตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลแบบเพื่อนบ้านที่ดี
ระหว่างทางเธอสงบ ถาม "ลูกเป็นอะไร.."
" ไม่รู้ค่ะ..แต่สงสัยขาจะเข้าซี่ล้อจักรยานที่พี่สาวขี่เล่น"
เอ่า..นี่แค่สงสัยน่ะ..ฉันบ้าจี้โดยการแพร่เชื้อทางอากาศ
ถึงโรงพยาบาลแล้วไม่มีแพทย์ที่ตึกฉุกเฉิน พยาบาลมองมองแล้วสั่งยา
พึมพำบอกแม่เด็ก "ดูอาการก่อน พรุ่งนี้มาใหม่"
ฉันปราดไปช่องจ่ายยา..ง่วงจัดแล้วอยากนอน
เห็นยาเม็ดสีขาวในถุง นึกแล้วเชียว..พาราเซ็ท ฯ เหอะๆ..
สองเดือนแล้วซีนะ เดือนที่สองของชีวิตคนตึกแถว
ไม่น่าเชื่อว่า..ชีวิตของฉันก็มีช่วงนี้กับเขาด้วย..เอาน่ะ..มันคุ้มกว่าจ่ายค่าน้ำมันวันละสามร้อย
ไม่นับรวมถึงค่าสึกหรอสภาพรถและความเสี่ยงของชีวิตไปกลับวันละสองชั่วโมงบนท้องถนน
เช้านี้ตื่นสายหน่อยอยากพัก จะไม่เข้าที่ทำงาน ปลอดงานบ้าน นอนมองเพดานนิ่งนิ่ง
เสียงเครื่องพ่นยุงแว่วมาฉันกระโจนผลุงจากที่นอน ก็รู้ดีฉันแพ้ยาพ่นยุง ..จะออกไปข้างนอกคงไม่ทัน
วิ่งออกหลังบ้านทั้งชุดนอนตั้งใจไปหลบหายใจระเบียงหลังนึกไม่ถึงรถอ้อมมาฉีดด้านหลังที่เป็นตลาดสด
ประชาชนพลเมืองแตกกระจาย ทำไมทำงานกันอย่างนี้..เหมือนไม่มีการวางแผนล่วงหน้า. .
ฉันถอยเข้าบ้านไปออกประตูหน้าที่เปิดยากเย็นเพราะไม่คุ้นเคย
ก้มถอดกลอนรีบร้อน เงยหน้าขึ้นโขกเปรี้ยงกับเหลี่ยมตู้เก็บรองเท้า!!
จังหวะที่ประตูเปิด..เด็กหญิงข้างบ้านวิ่งมาหาเหมือนรออยู่แล้ว ร้องลั่น" เลือดเต็มเลย."..
ฉันเข่าอ่อน..เจออีกจนได้ กระพริบตาถี่ๆกับความมึนยังชาอยู่ไม่รู้สึก..
จนเห็นมือตัวเองเลือดกระจาย หัวคิ้วแตก..
รู้แล้วทำไมมีคำเปรียบเป็นสำนวนไทย "เลือดเข้าตา.."
ก็มันไม่มีโอกาสเป็นบ่อยๆล่ะซี อย่างน้อยขนคาและคิ้วจะกันไว้เป็นด่านแรก
เออ..แต่น้ำออกตานี่เอาอะไรมากั้นดี..
อ่อ..ใจงัย ..ทุกอย่างอยู่ที่ใจ..กำแพงใจกั้นได้ทุกอย่าง
รู้หมด แต่ไม่ทำ..เกลียดตัวเองจริง.
"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it." - - D.Kaye - - ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้งหมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา
|