บินหลา...มาแล้วอย่าเลยไป
ภัสรา อุดาการ
“คิดอะไรมากมายหมอ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกที่จะเอามโนธรรมมาตัดสินแลกขีวิตคนตายกับคนเป็น ทุกอย่างเกมพร้อมชีวิตของพิมพ์ตา เรื่องนี้รู้กันเพียงสองคนหรือหมอว่าไง”
ผมรู้ว่าเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เราสบตากัน ครูนิคมยื่นมือมาให้ผมเหมือนขอคำมั่นสัญญา ผมลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะประสานกับมือนั้น ความเงียบเข้ามาแทนที่ มีเพียงความในใจที่ปะทุกรุ่นอยู่ในแต่ละอก สายตาของเราอยู่ที่ค็อปเตอร์หลายลำที่บินวนอยู่เหนือทิวไม้แล้วลับตาไปในดงลึกป่านนี้พื้นที่เถื่อนนั้นคงรายล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ทั้งภาคพื้นดินและอากาศ
มันเป็นการกวาดล้างไม้เถื่อนครั้งใหญ่อย่างถอนรากถอนโคน ชื่อของครูพิมพ์ตาจะจารึกอยู่ในระเบียนอันทรงเกียรติ ในฐานะผู้รับใช้สังคม ผมหวังว่าดวงวิญญาณของเธอคงรับรู้และรับเกียรตินั้นไว้ แม้ชีวิตจะจบลงโดยที่เจตนารมณ์ของเธอยังไม่ทันบรรลุจุดประสงค์ งานตามอุดมคติของเธอยังไม่สำเร็จ แต่มันจะแปลกอะไรในเมื่อรัฐบุรุษหลายชีวิตในอดีตประสบความสำเร็จจากแรงผลักดันของความฉ้อฉล ในขณะที่วีรบุรุษนิรนามอีกหลายชีวิตที่สิ้นดับด้วยความอาภัพไม่มีใครรู้จักผลงาน ผลงาน ชื่อเสียง เกียรติยศ ถูกปล้นไปอย่างน่าละอาย กฎหนึ่งที่ธรรมชาติถูกยัดเยียดให้เป็นผู้กำหนด “ผู้ชนะไม่ผิด” แน่นอนความผิดทั้งมวลตกที่ผู้แพ้ แต่สำหรับครูพิมพ์ตาเล่า..ผมไม่แน่ใจว่าเธอคือตัวอย่างของผู้แพ้หรือผู้ชนะกันแน่ เธอตายอย่างไร้ความผิด ชีวิตเล็ก ๆ ของเธอนั้นดับไป พร้อมกับความคิด เจตนารมณ์ อุดมการ...อุดมการใช่ “บินหลามาแล้วไม่เลยไป” จากคำพูดของเธอเอง...
เกือบปีที่ครูพิมพ์ตามาอยู่ที่นี่พร้อมกับผลงานสร้างสรรค์ของเธอ แม้จะเป็นถิ่นทุรกันดาร ไม่มีเศษเลยให้แสวงหาประโยชน์แต่เธอก็มีความมุ่งมั่น มีศรัทธาแรงกล้า ทุ่มเททั้งกำลังความคิด กำลังกายและความหวังทั้งมวลไม่ท้อถอย “คนเหนือคนได้ด้วยความคิดริเริ่ม” เธอบอกกับผมอย่างนี้ งานตามเป้าหมายของเธอกำลังจะสำเร็จ...เพียงพริบตา...ชีวิตเธอก็ดับลง เปิดทางรอดให้อีกหลายชีวิต...อย่างน้อย...ครูนิคม...ป่าไม้อันมีค่ามหาศาล...และที่สำคัญ...ชีวิตเธอแลกกับชีวิตผม
ผมให้การกับตำรวจเสร็จแล้วก็รีบกลับมาที่นี่เพื่อ “จัดการ” หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและมาขอพบครูนิคมด้วย มีความในใจหลายเรื่องที่ผมหาคำตอบไม่ได้ แม้จะรู้สึกไม่แน่ใจกับสวัสดิภาพของตัวเองเลย แต่ผมก็ได้มาแล้ว ที่นี่...พื้นที่เหนือทะเลสาปน้ำจืดซึ่งผมมาประจำอยู่หลายปี มันเป็นถิ่นกันดาร หลายคนที่เคยมาอยู่แล้วย้ายออกไปเรียกมันว่า “ดงเถื่อน” ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ที่นี่ก็ยังเหมือนเดิม ชาวบ้านยังคงประกอบอาชีพเพื่อปากท้องของตัวเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจกับความเป็นความตายของใคร ขอเพียงให้ลูกเมียมีกินวันนี้ก็พอแล้ว รุ่งขึ้นค่อยขวนขวายกันใหม่
ชีวิตชนบทก็อย่างนี้โดยเฉพาะที่นี่ พวกเขาไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่รับรู้กับสิ่งใหม่ ๆ และสภาพเช่นนี้จะคงอยู่ต่อไปเช่นเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง...เพียงแต่...ไม่มีการปรากฏตัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่นี่อีก...ผู้หญิงคนที่ผมชินตากับชุดสีดำของเธอ เกือบปีที่ผ่านมาผมพบเธอในสภาพที่ยังไม่ปลดทุกข์ ชุดสีดำขลิบขาวที่เห็นเป็นนิจนั้น ปรากฏตัวในที่นั่นที่นี่ บางครั้งผมพบเธออยู่ในกลุ่มกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ อย่างสนุกสนาน หลายครั้งที่เห็นเธอขลุกอยู่กับการขุดดินถมถนนร่วมกับชาวบ้าน และบ่อยไปที่พบเธอในกิจกรรมพัฒนาวัดและหมู่บ้าน ร่างเล็กในชุดดำนั่นเหมือนกางเขนตัวน้อยที่กรีดปีกขยับร่างโลดแล่นไปที่โน่นที่นี่อย่างร่าเริง
เมื่อวาน...ผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว...หล่อนตายแล้วจริง ๆ...กลิ่นเลือดสด ๆ ที่หลั่งรินจากรูเล็กๆ หลายแห่งบนร่างเธอยังติดจมูกผม ราวกับเหตุการณ์ยังอยู่เฉพาะหน้า...หล่อนตายในอ้อมแขนผม เราไม่มีความสัมพันธ์อื่นใดนอกจากเพื่อนร่วมชะตากรรม ทำไมต้องเป็นเธอนะ...ไม่น่าเชื่อ...มันควรจะเป็นผมมากกว่า ผมต่างหากที่เป็นตัวก่อ มันเข้าใจผิด มันยิงผิดตัว ในสิ่งที่มันต้องการยังสงบนิ่งอยู่ในกระเป๋าของผม ครูพิมพ์ตา...บินหลาที่มาแล้วไม่มีโอกาสกลับไป
เมื่อแปดเดือนที่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นได้นำตัวเองเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของที่นี่ ในฐานะครูคนใหม่ของเด็ก ๆ เหนือเขื่อนอันเป็นที่รู้กันดีว่ากันดารที่สุด กันดารเพราะความไกล ความแห้งแล้ง ความยากจนและปลอดจากสายเจ้าหน้าที่เกือบทุกหน่วยงาน ครูพิมพ์ตาผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ท่าทางช่างเล่น คุยสนุก หัวเราะเก่ง จับงานได้ทุกชนิด ในขณะที่มีความคิดเป็นเอกเทศตามแบบของเธอเอง เราคุยกันได้ถูกคอดี เธอเป็นนักพัฒนา เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ เธอเคยค้านผมอย่างรุนแรง เมื่อพบว่าที่บ้านพักของผมมีนกป่าหลายตัวอยู่ในกรงแขวน เราคุยกันด้วยเรื่องจิปาถะ และเถียงกันได้เป็นเวลานาน ๆ ในเรื่องของเสรีภาพ เธอหัวเราะกับความคิดฝันของหลายคนที่อยากเป็นนก เธอบอกว่าพอใจที่สุดแล้วที่ได้เป็นเธอ
“เสรีภาพไม่ได้อยู่ที่การคิดเพ้อฝันว่าจะเป็นนั่นเป็นนี่ มันอยู่ที่การวางจุดยืนของตัวเราต่างหาก” เธอบอกกับผมอย่างนี้ “คนเราทุกวันนี้ปิดถนนเสรีภาพของตัวเองเอาตัวไปผูกมัดไว้กับกฎเกณฑ์ที่ตัวเองไม่ได้สร้าง”
ผมรับฟังเงียบ ๆ ไม่มีความคิดที่จะโต้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง เรายังถกเถียงกันถึงเรื่องสันติภาพสากลกันอยู่เลย
“หมอเชื่อไหม...พิมพ์ไม่เคยสนใจเรื่องสันติภาพ พิมพ์ว่ามันเหมือนกับฟ้าที่เรามองเห็น แต่ไปไม่ถึง สัมผัสไม่ได้ มันไม่มีตัวตน แหงนกันคอตั้งบ่า มองหาไขว่คว้ากันสุดชีวิตก็ไม่มีโอกาส”ความคิดของเธอเป็นอย่างนี้เอง
“พิมพ์ว่าไม่มีประโยชน์หรอก การร่ำร้องหาสันติภาพในขณะที่มือถืออาวุธ ไม่อยากสนใจให้เสียความรู้สึก คนชั้นกลางอย่างเราต้องการอะไรนอกจากความสุข ความพอมีพอกิน........ไม่เคยทะเยอทะยานไปทำงานระดับสูง ขอให้ความคิดของเรา ชีวิตเราเป็นอิสระก็พอแล้ว”
ใช่ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้วเหมือนบินหลา...กางเขน...นกน้อยสีดำขลิบขาวที่เธอบอกว่ามันเหมือนเธอ บางคนอาจจะศรัทธาในบทบาทของอินทรีย์เจ้าแห่งนก.แต่สำหรับเธอแล้ว เธอเถียงหัวชนฝาทีเดียว
“นกพวกนั้นน่ะ มันไม่รู้ตัวหรอกว่ามันถูกวางบทบาท มันก็ใช้ชีวิตของมันไปตามธรรมชาติ มนุษย์นี่ร้ายกาจมาก ใส่หัวโขนให้พวกเดียวกันไม่พอ ยังใส่ให้นก อีกด้วย”
ความคิดเห็นของเราขัดแย้งกันเสมอ แต่ก็ไม่เคยถึงเกิดขุ่นใจกันสักครั้ง เพราะในที่สุดเธอก็จะมีอะไรแปลก ๆ มาไกล่เกลี่ย
“หมอรู้จักบินหลามั้ย...มันไม่มีบทบาทอะไรหรอก แต่ชีวิตมันสงบและอิสระ เมื่อสมัยเด็ก ๆ ในสวนยางของป๊ะทางใต้มีบินหลาเต็มไปหมด ต้นฤดูหนาวตามแอ่งน้ำในร่องสวน มีแต่บินหลาโฉบไปโฉบมา มันทำรังเตี้ย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในศาลพระภูมิ หลายคนไม่ชอบบินหลาบอกว่าเป็นนกเศร้าตลอดกาล แต่พิมพ์ชอบ มันร่าเริงมีอิสรภาพตามขอบเขตของมัน อือ...อ...มันเหมือนครูพิมพ์ตามั๊ง"
เธอพูดจบก็หัวเราะขำตัวเอง เธอมีความคิดเป็นของตัวเอง งานพัฒนาหลายชิ้นเสร็จได้โดยที่เธอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ครั้งล่าสุดนี้ เธอกำลังมีโครงการจะดึงเอาหน่วยอาสาพัฒนาของสหวิทยาลัยเข้ามาร่วมจัดทำโครงการหมู่บ้านเด็กในกิจกรรมของเธอ ยามว่างจากการสอนก็เที่ยวไล่เก็บภาพต่าง ๆ ของสภาพหมู่บ้าน โรงเรียน สอบถามคนเฒ่าคนแก่เพื่อมาทำข้อมูลประกอบรายงาน ความสำเร็จอยู่ใกล้มือเอื้อม แต่เธอก็เอื้อมไม่ถึง...ไอ้ฆาตกรหน้าโง่...มันหยิบยื่นความตายอย่างไร้สติ ไร้เหตุผล ป่านนี้มันจะรู้สึกอย่างไรนะ กล้องและฟิล์มที่มันได้ไปเป็นเพียงผลงานการพัฒนาหมู่บ้าน วัด โรงเรียนเท่านั้น ไอ้สิ่งที่มันต้องการยังอยู่ที่ผม
แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลยและต้องทำให้รีบกลับเข้ามาพบครูนิคมในวันนี้ซีเล่า...ฟิล์มม้วนนั้นผมพบในหลืบเสื้อด้านในของพิมพ์ตา...ผมเป็นคนพบและยืนให้ตำรวจกับมือของผมเอง ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า มันเป็นฟิล์มชนิดเดียวกับที่ผมเองก็กำลังพยายามรวบรวมอยู่...อาชญากรแผ่นดิน ไอ้พวกปล้นชาติมันกินบนเรือนแล้วขี้รดบนหลังคา พิมพ์ตาได้ภาพเหล่านั้นมา...ได้มาอย่างไรกัน
ตำรวจสรุปสำนวนการฆาตกรรมครั้งนี้ก่อนเปิดฉากการกวาดล้างว่า ฆ่าเพื่อปิดปากและแย่งชิงหลักฐานเพื่อทำลาย ผมไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวว่า จะเป็นพิมพ์ตาจริง ๆ ที่ลักลอบเข้าไปถ่ายภาพเหล่านั้นจากป่าลึก ผมเองเป็นผู้ชายแท้ ๆ กว่าจะเข้าไปถึงที่นั้นและหาทางหนีทีไล่ได้ก็ใช้เวลาเป็นปี มันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่นะ
ฟิล์มที่ตำรวจล้างภาพออกมากลายเป็นล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ของวงการตำรวจและป่าไม้ ภาพทั้งหมดเป็นหลักฐานที่สมบูรณ์มีน้ำหนัก ได้ตัวการใหญ่พร้อมสรรพ หน่วยเหนือสั่งงานเฉียบพลัน ทุกอย่างมันยังอื้ออึงอยู่ในสมองของผม ครูพิมพ์ตาเป็นวีรสตรีไปแล้ว
วันสุดท้ายของเธอนั้น เราสามคน ครูพิมพ์ตา ครูนิคม แล้วผมนัดกันออกไปส่งงานที่อำเภอ ครูพิมพ์ตาจะออกมาล้างฟิล์ม และเสนอรายงานเดินเรื่องโครงการร่วมอาสาพัฒนาฯ เธอตื่นเต้นดีใจและมีความสุขกับความสำเร็จที่กำลังมาถึง
“ โครงการของพิมพ์กำลังรุ่งเลยหมอ ของหมอเป็นไงมั้ง”
เธอร้องถาม ผมโบกมือให้ก่อนแยกย้ายกันมา เธอขี่รถล่วงหน้ามาก่อน ครูนิคมต้องแวะบอกกำนันเรื่องโครงการอาหารกลางวันของเด็ก เราทิ้งช่วงกันพอสมควร เมื่อเราตามมาถึงที่เกิดเหตุก็พบเธอนอนฟุบจมกองเลือดอยู่ รถจักรยานยนต์ล้มอยู่ข้างทาง มันไม่ต้องการรถ แน่นอน มันเก่าจวนหมดสภาพ มันได้ไปแต่กล้องและฟิล์มที่ค้างอยู่กับกระเป๋าสะพายเท่านั้น
ครูนิคมสันนิษฐานว่าคงเกิดการแย่งกันขึ้น เพราะครูพิมพ์ตาให้ความหวังกับฟิล์มม้วนนั้นมาก ตอนที่เราไปพบเธอยังไม่สิ้นใจ ครูนิคมกระโดลงท้ายรถผมทั้งที่ยังไม่จอด เข้าไปช้อนร่างเธอขึ้นตะโกนเสียงปร่า “พิมพ์ พิมพ์”
เธอเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างลำบากพยายามพูด “มันเอา...กล้อง...กับ...ฟิล์ม..นั่นไป...แล้ว” ครูนิคมประคองร่างโชกชุ่มไปด้วยเลือดนั้นไว้เก้กัง เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดที่มุมปากของเธอมือสั่นเทา “ไม่เป็นไรพิมพ์ หาเอาใหม่ได้ ทำใจดี ๆ ไว้นะ เราจะพาพิมพ์ไปโรงพยาบาล”
เขาสั่งให้ผมกลับรถเข้ามาตามรถยนต์กำนันและเอาเครื่องมือที่สถานีอนามัย ส่วนเขาก็สาละวนอยู่กับการห้ามเลือด ผมตีรถกลับทางเดิมราวเหาะ ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เกิดเรื่องแล้วไง แต่ทำไมถึงเป็นพิมพ์ตาไปได้ ผมเสียวหลังวาบ มันเข้าใจผิดจริงหรือต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูกันแน่นะ
ผมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเครื่องมือและรถยนต์กำนัน เราปฐมพยาบาลกันไปบนรถ แต่เมื่อรถเทียบโรงพยาบาลเธอก็สิ้นใจเสียแล้ว ครูนิคมให้ผมอยุ่กับศพพิมพ์ตาแล้วเขาก็ออกไปพบหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษและกลับเข้ามาพร้อมกันในเวลาอันรวดเร็ว ผมส่งฟิล์มที่บังเอิญพบในหลืบเสื้อด้านในของพิมพ์ตาตอนเหน็บผ้าคลุมศพ ให้เขาแล้วทุกอย่างก็เริ่มต้น...ใช่ เริ่มต้นที่จุดจบ ความสงสัยของผมจะไม่มีทางที่คลี่คลายเลยหากผมจะไม่มาพบครูนิคมในวันนี้ ผมทบทวนเหตุการณ์อย่างเลื่อนลอย
ความใฝ่ฝันของผมพังทลายแล้ว ผมเคยคิดไว้ว่าสักวันผมคงมีโอกาสได้ทำงานระดับชาติสักครั้ง เป็นงานที่ผมหมายมั่นปั้นมือมานาน จะเรียกว่าแสวงหาชื่อเสียงหรืออยากดังก็ไม่ผิดนัก ผมเคยคิดที่จะแต่งเครื่องแบบตรวจการของป่าไม้ อยากขลุกอยู่กับงานป่าสงวน อยากทำงานหน่วยพัฒนาต้นน้ำชีวิตที่ล้อมด้วยธรรมชาติป่าเขาเป็นสุดยอดปรารถนาของผม ผมจะรักต้นไม้ทุกต้นใบไม้ทุกใบ แต่นั่นแหละนะชีวิตของผมไม่ได้เรียนวนศาสตร์อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ ไม่ได้เรียนป่าไม้อย่างที่หวัง ช่างเถอะ...ถึงอย่างไรก็ยังได้มาอยู่ในป่าสมใจเหมือนกัน แต่เป็นป่าที่ผมไม่มีสิทธิใดที่จะปกป้องเลยนอกจากสิทธิของเจ้าของแผ่นดินคนหนึ่ง ผมรับรู้ด้วยความเคียดแค้น...กลางป่าลึกนั่นมีปางไม้เถื่อน
ผมเกลียดมัน...ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเครื่องจักรลอยแว่วมาตามลมจากราวป่า ผมจะขบกรามแน่นรู้สึกปวดตุบที่ขมับ ผมพยายามใจเย็นอย่างที่สุด...อดทนหน่อย...รอให้ได้หลักฐานพร้อมมูลกว่านี้ ไอ้ตัวใหญ่จะติดกับผม แล้ววันนั้นละที่ผมรอ เคยมีการจับกุมหลายครั้งแต่ก็ได้เพียงปลาซิวปลาสร้อย ส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ชาวบ้านไม่รู้โหน่เหน่ ตัดไม้ทำไร่เสียมากกว่า รังใหญ่ในป่าลึกนั้นยังคงทำงานของมันไปเงียบ ๆ ผมเฝ้าดูเรือนแพหลังใหญ่ ๆ ไม้งาม ๆ หลายหลังที่เกิดขึ้นอย่างสังเวชใจ มันคือวิธีหนึ่งของการลำเลียงไม้ เรือนหลังเดิมหายรังใหม่มาแทน แน่นอนทุกหลังมีทะเบียนเลขที่
ในป่าลึกที่ผมไปพบมีทั้งช้างหลายสิบเชือก สิบล้อหลายสิบคัน อุปกรณ์ต่าง ๆ ครบครัน ทางตัดใหม่ใหญ่โตกว่าทางเข้าหมู่บ้าน แคมป์ของพวกมันใหญ่โต ชีวิตของพวกมันเหมือนเจ้าป่า มีหมอประจำพร้อม เฮอะ...ชาวบ้านแถบนี้ยังเดินตีนเปล่า ขุดจิ้งหรีด ขุดตุ่น ต้มหน่อไม้จิ้มพริกแห้งเผาโขลกเกลือไปตามเรื่อง เงินไม่ต้องพูดถึง...เขาใช้ระบบแลกเปลี่ยนเหมือนรุ่นบรรพบุรุษ รู้น่ะรู้กันเต็มอกว่าในป่าเขาเขามีอะไรกัน แต่ไม่มีใครสักคนที่จะปริปาก พื้นที่ของพวกมันกินบริเวณกว้างออกทุกที ผมเข้าไปถึงที่นั่นได้เพราะแอบได้ยินชาวไร่คุยกัน ก็พยายามเล็ดลอดเข้าไป เห็นครั้งแรกผมถึงกับผงะด้วยความคาดไม่ถึง...กลับมาอย่างคนปอดลอย มันมีการสกัดฝิ่นกันในปางไม้นั่น
วิญญาณของบรรพบุรุษไทยคงเข้าสิงผมตั้งแต่วันนั้น ผมรวบรวมเงินก้อนที่มีอยู่ซื้อกล้องถ่ายภาพขนาดเล็กมาใช้โดยเฉพาะสำหรับงานนี้ ผมทำงานอย่างใจเย็น ระมัดระวัง มันลำบาก...ใช่...ต้องลัดเลาะไปไปตามป่ามืดครึ้มรกและเต็มไปด้วยอันตรายนานาชนิด อันตรายจากมนุษย์ด้วยกัน อันตรายจากสัตว์ป่า อันตรายจากสัตว์เลื้อยคลานพิษซึ่งชุกชุม มันเสี่ยงอันตรายทุกรูปแบบ เป็นงานหนักที่ผมทุ่มเทความหวังเพื่ออุดมการ เหนื่อยแทบขาดใจขนาดที่ผมเป็นผู้ชาย แล้วผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างครูพิมพ์ตาล่ะ...
ผมรีบมาหาครูนิคม ตอนที่ผมไปถึงเขากำลังเก็บของเครื่องใช้ของครูพิมพ์ตาลงกล่อง ใบหน้านั้นยังดูซูบซีดอิดโรยแววตาหม่น คงเสียดายเพื่อนร่วมงานไม่น้อยทีเดียว “ญาติเขาจัดการเรื่องศพถึงไหนแล้ว ครูใหญ่ครับ จะเผาเมื่อไหร่” ผมถามเมื่อก้าวขึ้นไปนั่งตรงหน้า “ไม่เผาหรอกหมอ เพียงแต่สวดศพแล้ว ก็ส่งไปให้ศิริราช เพราะครูพิมพ์ตายื่นความจำนงบริจาคศพและดวงตาไว้” เป็นความรู้ใหม่ที่พิมพ์ตาไม่เคยเล่าให้ฟังเลย ชีวิตเธอช่างน่าสรรเสริญ แม้แต่ร่างอันไร้วิญญาณก็ยังก่อประโยชน์ใหญ่หลวง
"ผมข้องใจ ทำไมถึงเป็นพิพ์ตา" ผมเปิดเรื่องที่ไม่เข้าใจสำนึกผิดวาบขึ้นมาอีกครั้งในความรู้สึก
"ผมสงสัยว่าเธอตายแทนคนอื่น" ครูนิคมหันขวับมามองหน้าผม จ้องนิ่งนาน เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร “เกิดอะไรขึ้นล่ะหมอ หมอก็อยู่ในเหตุการณ์กับผมแท้ ๆ จำได้ไหมก่อนตายครูพิมพ์ตาพูดถึงเรื่องอะไร “ฟิล์ม...กล้อง...มันเอากล้องกับฟิล์มไปแล้ว” ผมทวนประโยคนั้นเสียงปร่า ประโยคสุดท้ายของเธอยังก้องอยู่ในสองหูของผม “ใช่...พิมพ์ตาให้ความสำคัญและทุ่มเทความหวังกับมันมากทีเดียว” “แต่...มันก็เอาไปแล้วนี่” ผมแย้ง “หมอเป็นคนพบมัน และส่งมันให้ตำรวจเองไม่ใช่หรือ” “แต่ผมไม่เข้าใจ มันเป็นไปได้อย่างไร พิมพ์ตาไม่เคยเข้าป่าคนเดียว เธอได้รูปพวกนั้นมาได้จากไหน เห็นแต่ท่อมๆ เก็บรูปน้ำ รูปฟ้า ดอกไม้ขุนเขาไปตามเรื่อง นอกนั้นก็รูปวัด อนามัย......"
ผมยังพูดไม่ทันจบลมกรรโชกมาวูบหนึ่ง ประตูห้องเปิดออก ผ้าม่านสีอ่อนโบกชายสะบัด สิ่งที่สายตาผมเผอิญพบทำให้หยุดหายใจไปชั่วขณะ...ตาผมไม่ฝาดแน่ บนโต๊ะมุมห้องนั้นกล้องของพิมพ์ตาสงบนิ่งอยู่ ผมผวาเยือก หันกลับมามองครูนิคมอย่างตระหนก ไม่รู้สึกตัวว่าผลุดลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อไหร่ มือกำแน่นจนเล็บนิ้วก้อยจิกเข้าเนื้อ ครูนิคมลุกขึ้นยืนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใด ๆ ปืนสั้นขนาด ๒๒ อยู่ในมือของเขา สีดำเลื่อมของมัน สยบให้ผมเงียบกริบ ประสาททุกส่วนเขม็งเกลียวจนปวดหนึบไปหมด มีคำพูดมากมาย ประดังอยู่ในอก เสียงหัวใจเต้นสับสนไปกับความคิด ครูนิคมเดินช้า ๆ เข้ามาหาผม
“ไม่มีอะไรน่าตกใจหรอกหมอ นั่งลงคุยกันก่อนซิ...เอ้านี่ปืนของหมอเองใช่มั้ย เอาคืนไปเถอะ พิมพ์ตาฝากผมไว้ก่อนออกไปด้วยกัน”
แน่นอน มีเพียงผมกับพิมพ์ตาเท่านั้นที่รู้ว่า มันใช้งานจริงๆไม่ได้ ผมได้มาจากงานกาชาดเมื่อปีก่อนเพราะชอบใจที่มันเหมือนของจริงมากทีเดียว ผมรับมาถือไว้ ตายังคงเขม้นมองฝ่าผ้าม่านสีอ่อนนั้นเข้าไป ครูนิคมเดินเข้าไปหยิบกล้องนั้นออกมายื่นส่งให้ผมหายสงสัย มันไม่ใช่ของพิมพ์ตาแน่ ผมคุ้นเคยกับมันดี เริ่มลำดับเหตุการณ์ เรียบเรียงความเป็นไปได้ ..ใช่แล้ว..ผมเบิกตากว้าง
"ฟิลม์ม้วนนั้น..ของครูใหญ่... ใช่..ของผมเอง ผมใส่ไว้ในหลืบเส้อครูพิมพ์ตาตอนที่หมอกลับมาเอาเครื่องมือ" "ทำไม.." เสียงผมสั่นพร่าไม่ดังกว่ากระซิบเท่าไหร่ เสียงของครูนิคมพูดเนิบๆแต่มันก้องไปในความรู้สึกทีเดียว "หมอ..การทำอะไรมันก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้น มันก็จริงอย่างที่หมอพูดล่ะนะ พิมพ์ตาตายแทนคนอื่น. ผมระวังตัวเสมอ มันระแคะระคายมานานแล้วว่ามีคนแอบเข้าปางไม้ แต่จับตัวไม่ได้ ความคิดความอ่านการแสดงออกของพิมพ์เข้าตามัน ผมผิดเองที่ไม่เคยเตือนเธอ " ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับภวังค์นานแสนนาน ภาพเหตุการณ์ต่างๆแว่บเข้ามาในความคำนึง เสียงของครูนิคมเหมือนเทปบันทึกที่ถูกหมุนกลับเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า "มันคงเป็นตราบาปติดตัวผมไปตลอดชีวิต หากชือเสียงจะเป็นของผมในขณะที่ครูพิมพ์ตาตายอย่างเงียบๆไร้เกียรติ มันไม่ยุติธรรม." ใช่มันไม่ยุติธรรม..ไม่ยุติธรรม..
"นี่เป็นโชคดีอย่างใหญ่หลวงทีเดียวที่หน่วยสืบสวนให้ความสนใจเป็นพิเศษ เป็นบุญของครูพิมพ์ตา ไม่อย่างนั้น ไม่แน่ว่าเธออาจจะตายฟรี ฟิลม์ถูกทำลาย เรื่องเงียบหายในขณะที่ผมจะถูกหมายหัวเป็นคนต่อไป"
ผมสืบเท้าเดินลงมาหยิบฟืนที่กองอยู่เรียงรายเบื้องล่าง จุดไฟลุกขึ้น ครูนิคมตามลงมาดูเงียบๆผมโชนไฟให้สูงขึ้นเปลวมันลามเลียขึ้นมาจนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า แต่มันไม่ได้ลบความเย็นเยือกในหัวใจให้หมดไปได้เลย ภาพหญิงคนนั้นนิ่งอยู่ในความคิด เสียงเธอก้องมาในสำนึก
"มิตรภาพ-สันติภาพเหมือนฟ้า มันสูงเกินไป กว้างเกินไปสัมผัสไม่ได้ แม้จะมองเห็นด้วยตาเปล่า ตราบใดที่มนุษย์ไม่มีความบริสุทธิ์ใจให้แก่กัน หยิบยื่นการให้เพื่อแลกเปลี่ยนการรับที่สูงค่ากว่า เอาเปรียบซึ่งกันและกัน ฟ้าก็จะยิ่งสูงขึ้น กว้างขึ้นทุกที พิมพ์ไม่สนใจหรอก ขอเพียงเราได้ทำงานตามอุดมการ ทางใครทางมันก็ดีถมไปแล้ว"
ผมหยิบกล้องขนาดเล็กประสิทธิภาพสูงออกมาจากกระเป๋าเสื้อแคเก็ต เสียงคอปเตอร์ ยังคงลำเลียงกำลังสนับสนุนสู่ป่าลึก ครูนิคมมองท่าทีของผมอย่างพยายามเข้าใจ ผมยิ้มให้แห้งแล้ง
"ครูใหญ่มีมโนธรรมสูงกว่าผมเยอะ ฟิลม์นี่ผมได้มาจากแหล่งเดียวกับของครูใหญ่ แต่ของครูใหญ่มีค่ามากกว่า มันพลิกความพยายาม ความใฝ่ฝันของผมจนหมด ผมเคยหวังจะได้ทำงานใหญ่ๆสักครั้ง แต่ช่างเถอะ .. มันจบแล้วพร้อมชีวิตพิมพ์ตา เธอคงดีใจถ้าได้รู้ว่า การให้ของเธอได้รีบผลตอบแทนที่สูงค่ายิ่งกว่า ฟ้าอาจจะต่ำลงบ้างละมัง แต่กว่าจะถึงวันนั้นแผ่นดินก็กลบหน้าเธอเสียแล้ว"
ผมถอดฟิลม์โยนเข้ากองไฟ เปลวไฟลุกวาบจนต้องก้าวถอยหลัง ความเงียบเข้ามาแทนที่อีกครั้ง ได้ยินเสียงน้ำในลำห้วยเบื้องล่างไหลเซาะหินทราย ปลาฮุบเหยื่อเสียงสะท้อนก้อง กางเขนตัวหนึ่งกรีดปีกผ่านแล้วร่อนกลับมาโฉบล้อผิวน้ำไหวระริก มันเห็นตั๊กแตนตาใสแจ๋วตัวนั้นแล้ว แต่ก็ยังช้ากว่าเจ้าปลาตัวใหญ่ซึ่งฮุบเหยื่อโผลงแล้วด้นน้ำหายไป กางเขนผู้สูญเสียโผขึ้นเกาะกิ่งหว้าเอียงคอซ้ายขวา แล้วกรายปีกโฉบกลับมาอีกครั้งพร้อมหนอนตัวอ้วนใหญ่มันถลาร่อนหายไปในดงไม้ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
"บินหลาเอ๋ย..ที่สุดเจ้าก็ได้เหยื่อกลับไป"
( ฟ้าเมืองไทย รายสัปดาห์เพื่อความจัดเจนชีวิต ปีที่ 19 ฉบับ ที่ 968 ปีพ.ศ. 2530)
|