คืนฟ้าฉ่ำดาว..เพื่อนร่วมทาง
ภัสรา อุดาการ
ท่ามกลางแผ่นน้ำกว้างใหญ่สีเขียวมรกต แพไม้สักหลังใหญ่หลายหลังเรียงรายสงบนิ่อยู่ มันเงียบเหงาจนผิดสังเกต แพร้านค้าที่เคยพลุ่งพล่านด้วยผู้คน วันนี้กลับปิดตัวเองเงียบกริบ
"ทหารสั่งปืดเขื่อน ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าเขตหวงห้าม"
ฟังแล้วน่าตกใจในสถานการณ์ไม่น้อยเลย นั่นคือผลพลอยได้จากการปะทะตามชายแดนไทย-ลาวมันกินอาณาเขตมาจนถึงนี่
"จุดสำคัญทางยุทธศาสตร์" ว่ากันว่าเป็นเหตุผลที่ต้องระวังอย่างหนัก ผมเองกว่าจะผ่านเข้ามาถึงท่าเรือได้ก็ถูกตรวจค้น ชี้แจงฐานะอยู่นาน ยังนึกหวั่นว่าจะไม่มีพาหนะเข้าไปสู่พื้นที่เหนือแผ่นน้ำที่ต้องการจะไป
ภาพขบวนรถทหารที่ทยอยส่งออกแนวรบด้านชายแดนทำให้ผมคิดอย่างหดหู่ สงครามไม่ได้สร้างอะไรเลย มีแต่ทำลาย ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ความเป็นมนุษย์ ใครนะที่พูดว่า สงครามสร้างวีรบุรุษ
ผมโยนสัมภาระในเป้สนามไปบนพื้นเรือ อะไรเล่าคือความเป็นวีรบุษที่แท้จริง นั่นเป็นเพียงคำปลอบใจคนที่รอดตายกลับมาต่างหาก ผมถอนใจก้าวขาข้ามเครื่องยนตร์ไปด้านที่นั่งผู้โดยสาร แต่พบว่ามันระเกะระกะไปด้วยสัมภาระของผู้โดยสารที่มาก่อน "คนคงตกค้างอยู่ฝั่งนี้หลายวัน"ผมคิด
มีการกวดขันคนเข้าออกมากขึ้น เรือจึงต้องงดเดินทางเนื่องจากผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านเกิดวิตกกับการตรวจค้นเสียแล้ว
"ครูครับ มีเสื่ออยู่บนหลังคา"
เสียงคนขับเรือที่นั่งมวนยาสูบรอผู้โดยสารอยู่หน้าแพหลังใหญ่ร้องบอกมาอย่างมีน้ำใจอาจเป็นเพราะว่าเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างคนกันเอง ความสมถะในการดำรงชีวิตลดช่องว่างระหว่างชาวบ้าน-ข้าราชการลงไป อาชีพครูชนบทก็อย่างนี้ มีความศรัทธาเป็นเหรียญกล้าหาญ คำยกย่องสรรเสริญเป็นยศ เบี้ยเลี้ยงคือความสงบของชีวิตละมัง
ผมดึงเสื่อลงมาจากหลังคาเรือสลัดเอาแมลงสาบหลายตัวที่วิ่งวนอยู่ตกลงไปในน้ำ ถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมอยู่ม้วนเป็นก้อนหนุนต่างหมอนชีวิตสอนให้ผมกินง่ายอยู่ง่าย ผมหลับได้แม้ท่ามกลางเสียงแผดก้องของเครื่องยนตร์เรือโดยสาร ไม่สนใจกับความงามตามธรรมชาติรอบกายอีกเลย อาจเป็นเพราะรู้ดีว่าในความงามเหล่านั้นมีการทำลายที่ซ่อนเร้นอยู่ละมัง ผมหลับตาลงเสียก่อนที่จะได้พบกับสายน้ำที่พวยพุ่งขึ้นด้วยแรงระเบิด หลับเสียก่อนที่ได้พบกับฝูงปลาใหญ่น้อยลอยขึ้นเกลื่อนพื้นน้ำ และหลับตาลงเสียก่อนที่จะได้เห็นเรือตรวจการณ์ที่เฉียดฉิวพุ่งปราดผ่านไป
ช่วงเวลากว่าสามชั่วโมงที่เรือโดยสารลำนั้นลอยตัวผ่านห้วงน้ำกว้างใหญ่นั่นไปถึงฝั่งก็เกือบพลบค่ำ กวาดสายตามองเพื่อนร่วมทางที่จะฝ่าทะเลฝุ่น ปีนเขาไปจนถึงจุดหมายปลายทางก็ไม่มีเลยสักคน คงลงไปตามแพใหญ่ตามหุบห้วยรายทางเกือบหมดสิ้นแล้ว
ผมเปิดเป้สนามควานหาไฟฉายขนาดเล็กที่เคยพกติดตัวทุกครั้งที่เดินทาง ความคิดลอยกลับไปถึงวันเก่าๆเมื่อมาเหยียบพื้นที่นี้ครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน คราวนั้นก็เกือบพลบค่ำเช่นเดียวกัน ต่างกันที่วันนั้นผมมีพาหนะคือเกวียนต่างข้าวสารเข้าสู่หมุ่บ้าน โดยเหตุผลที่ไม่เคยเดินเท้ามาก่อนทำให้ผมอดทนรอจนเจ้าของขนข้าวสารทั้งสิ้นขึ้นเกวียนจนหมด จำได้ว่าครั้งนั้นนั่งรอตั้งแต่ฟ้าสีแดงเจือส้ม ตะสันกำลังลับขอบฟ้า จนกระทั่งเดือนขึ้นมาครึ่งฟ้า โดยที่ไม่ได้หยิบจับช่วยเหลืออะไรเจ้าหนุ่มคนนั้นเลยแม้แต่น้อย คิดแต่เพียงว่าเราแลกเปลี่ยนเขาด้วยเงินแล้ว ผลปรากฎว่าวันนั้นผมไปถึงโรงเรียนหลังเที่ยงคืนโดยนั่งไปบนกระสอบข้าวสาร คราวใดที่ต้องขึ้นดอยสูงผมก็จำเป็นต้องลงมาเดินเท้าเพระอดสงสารเจ้าวัวที่ต้องแบกน้ำหนักมากมายนั้นไม่ได้
แล้วก็ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองในวันหนึ่งว่า หากเราเดินด้วยเท้าของเราเองใช้เวลาอย่างมากที่สุดก็สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง แต่นั่นแหล่ะนะ ใครเลยจะรู้ไปเสียหมดทุกอย่าง ผมนึกขอบคุณวันเวลาที่มอบประสบการณ์แก่ชีวิตมากมาย
เรือหันหัวเรือเข้าสู่ฝั่ง เสียงแผดก้องของมันหยุดลงมีเสียงน้ำเข้ามาแทนที่ ปลาตัวโตหลายตัวดีดตัวขึ้นมาทักทาย ผมยกเป้ขึ้นใส่หลังกระโดดขึ้นฝั่งหันไปพยักเพยิดลาอย่างเป็นกันเองกับคนขับเรือพร้อมกับร้องบอก
"เช้าวันรืนรอด้วยนะ"
"ครูจะกลับออกไปอีกหรือครับ"ผมพยักหน้า ยิ้มกับความหวังที่รออยู่ "คำสั่งย้ายมาแล้ว" เขาทำหน้าฉงนบ่นอะไรงึมงำ กระโดดตามมายืนเคียง "มีของขนย้ายเยอะมั้ยครับครู"
ผมยักไหล่ตบลงไปบนเป้"เป้ใบเดียว"
ความจริงเป็นอย่างนี้ ผมอยู่ของผมที่นั่นอย่างง่ายๆ ไม่เคยต้องหอบอะไรเป็นภาระ เดือนหนึ่งกลับมาบ้านสักครั้งก็ขนมาเพียงเสบียงอาหารที่จำเป็นและของฝากสำหรับลูกศิษย์เท่านั้นเอง เรียกได้ว่ามาแต่ตัวกับวิชาชีพจริงๆ "คืนนี้ครูจะเข้าบ้านงอมเลยหรือครับแวะนอนบ้านผู้ใหญ่ที่ปางผึ้งก่อนดีกว่ามั้ง" เสียงของเขามีกังวล "ไม่เคยค้างสักทีนี่ เดินรวดเดียวถึง" ผมพูดพลางหัวเราะกับท่าทีกระวนกระวายของเขา
"มีอะไร" "เมื่อคืนสถานีอนามัยบ้านงอมกับปางวุ้นถูกปล้นยาไปหมดพร้อมกันเลยครับ มีข่าวทหารลาวแดงถูกโจมตีจากชายแดนฟากท่าหนีเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่แถวบ้านเรา มีชาวบ้านพบเดินผ่านไร่บ่อยๆ"
ผมนิ่งฟังฟังเงียบๆ นั่นปะไรผลของสงคราม พวกทหารฝ่ายโน้นคิดจะหลบซ่อนตัวอยู่แถบนี้คงลำบากหน่อยเพราะคงไม่มีอาหารจะเลี้ยงตัว ชาวบ้านแถบนี้เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยที่รักถิ่นฐานไม่ยอมอพยพไปอยู่ตามนิคมฯจัดสรรให้ก่อนการสร้างเขื่อน สภาพโดยทั่วไปของชาวบ้านยากจนอาศัยจับสัตว์ป่าเป็นอาหาร ป่านนี้คงดิ้นรนหาทางกลับคืนถิ่นไปแล้ว
แต่หากจะยังคงอยู่จริงก็ไม่น่ามีอะไรต้องกลัว คนเป็นครูไม่มีพิษมีภัยกับใครหรอกน่ะ จะถึงกับมีศัตรูเชียวหรือ ผมบอกกับตัวเองสืบเท้าก้าวไปตามทางเกวียนที่ทอดยาวลดเลี้ยวเข้าสู่ลู่เทือกเขาสีเทาที่เห็นทะมึนอยู่เบื้องหน้า บ่าที่เคยแบกเสบียงหนักอึ้งทุกเที่ยวมาคราวนี้กลับว่างเปล่า มันเป็นการมาเพื่อบอกอำลา ไม่ใช่พักพิงแรมเดือนเช่นที่เคยผ่าน
ผมได้ปลดแอกให้ตัวเองแล้วสินะ อาจจะเป็นการปลดแอกไม้สู่แอกเหล็กหรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ แต่ที่ทำงานแห่งใหม่ของผมถึงจะอยู่ใกล้เมืองกว่าที่เดิม มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม แต่สภาพเศรษฐกิจต่ำสุดขอบ ช่างเถอะ ผมพอใจกับบรรยากาศใหม่ๆมากกว่า ผมถือคติที่ว่า งานที่ทำด้วยใจรักนั้นเป็นงานที่เหมาะสมที่สุด
ความจริงที่ที่ผมกำลังสัมผัสอยู่นี้ก็ไม่เลวเสียเลยทีเดียวนัก หลายปีของที่นี่ผมพบกับชีวิตที่เข้มข้น ธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรเป็นวิญญาณของผมอยู่แล้ว ดูเอาเถอะ ถนนโค้งที่ลัดเขาล่วงหน้าผมไปทุกฝีก้าวนั้นพิสูจน์ความสมบุกสมบัน ทรหด สะใจคนวัยอย่างผม มันท้าทายชีวิตแกร่งดีนัก ผมไม่เคยท้อเลยกับระยะทางสิบสองกิโลเมตรที่ต้องขึ้นเขาลงห้วย ไม่เคยหวั่นแม้กับห้วยที่ผมแทบเอาชีวิตไปทิ้งยามที่น้ำป่าไหลบ่าอย่างกระทันหัน บอกกับตัวเองเสมอว่าหากเราไม่เคยพบกับความลำบาก เราก็จะไม่ได้สัมผัสกับความสบายเลย ผมชมนกชมไม้มาเรื่อย นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผันผ่านมาในชีวิตจนถึงวันนี้ วันที่ผมเดินอยู่ภายใต้ฟ้าสีน้ำเงิน ระยิบระยับด้วยดาวประดับ เป็นครั้งแรกละมังที่ได้มีโอกาสเดินทอดน่องสูดกลิ่นฟ้าอย่างปลอดโปร่งใจ ไม่มีภาระใดๆรออยู่เบื้องหน้าเช่นเคย มีสักกี่คนเชียวที่มีโอกาสเห็นอย่างที่ผมเห็น กิ่งไม้ยืนตายนิ่งทอดตัวขึ้นไปทาบฟ้านั้นมองดูอ่อนโยน ดวงดาวที่เรียงรายอยู่ราวจะแต่งแต้มให้สีดำสนิทนั้นมีชีวิตชีวา คราวใดที่หนทางลาดลงสู่ที่ต่ำดาวนั้นก็ย้อยฉ่ำมาเรี่ยดิน เมื่อต้องขึ้นสู่ยอดดอยแสงวาววับนั้นกลับลอยตัวห่างออกไปยิ้มยั่วอยู่ไกลๆ
ผมเดินอย่างไม่รีบร้อนไปตามทางสายที่คิดว่าหลับตาเดินได้ด้วยความเคยชิน เสียงนกราตรีที่กรีดก้องพร้อมขยับปีกโลดถลาออกหากินไม่ได้ทำให้ผมสะดุ้งผวาเลยสักนิด หรีดหริ่งยังคงบรรเลงเพลงไพร อีกเพียงสี่กิโลเมตรผมก็จะถึงจุดหมายปลายทาง นึกไปถึงคำพูดของนายมิ่งคนขับเรือ "ทหารลาวถูกตีแตกหลบหนีมา"..ป่านนี้พวกเขาคงจะลำบาก คงเจ็บป่วยทำไมถึงต้องสู้รบกันหนอ ทำไมพวกเขาไม่ใฝ่หาสันติภาพ ความคิดที่สงบเมื่อครู่เริ่มวกวน แต่เพียงครู่เดียวมันก็ชะงักพร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวย่าง..ผมพบกับพวกเขาเข้าแล้วจริงๆ
เรา..ผมกับพวกเขาสามคนอาวุธมือพร้อม..ที่สำคัญปลายกระบอกปืนรวมที่ผมเพียงจุดเดียว เราพบกันที่ทางแยกบนดอยแปรเมือง ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่รู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบของเลือดในกาย ผมหลับตาลงและลืมทุกสิ่งอย่างแม้แต่ดาวพร่างพรายทุกดวงที่อยู่บนฟ้าเมื่อครู่ก่อน ไม่มีอะไรในสมองของผมอีกเลยนอกจากความตาย เวลาที่ผ่านไปช่างเนิ่นนาน ทุกอย่างดูราวจะเงียบงันไปหมด
"ครูคงเพิ่งมาจากท่าเรือ"
สำเนียงแปร่งที่ได้ยินทำให้ผมเริ่มขยับตัวลืมตาผ่อนลมหายใจ ผมยังมีโอกาสรอด ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาจึงรู้ว่าผมเป็นใคร ที่นี่คนแปลกหน้ามักจะตั้งข้อสงสัยว่าผมเป็นหมอหรือครู แต่พวกเขาปักใจว่าผมคือครู แน่นอนว่าเขาได้พบหมอมาแล้วนั่นเอง ชายร่างสูงท่าทางเป็นหัวหน้าสืบเท้าออกนำไปในทิศทางเดียวกับผม จึงได้ทันเห็นเป้ขนาดใหญ่ท่าทางหนักบนหลังของเขา ผมยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับตัวเอง แต่แล้วปืนสองกระบอกที่จี้มากลางหลังพร้อมกันก็ช่วยตัดสินใจให้ก้าวเดินตามชายคนแรกไป เหมือนจะเพิ่งคิดได้ ชายผู้นำหันมาปรามเพื่อนร่วมทีมแล้วเอื้อมมือมาคว้าศอกของผมให้ก้าวเดินไปพร้อมกัน
"อาชีพของคุณมั่นคงดีมั้ย"
เปิดคำถามแปลกๆอยู่สักหน่อย ผมมองหน้าเขาอย่างจนคำตอบรอยยิ้มและดวงตาวาววับในความมืดของเขาตลอดจนท่าทีสุภาพทำให้ผมแน่ใจในฐานะของเขามากขึ้น ผมเดินก้าวไปพร้อมกับเขา
"พวกคุณเองเล่าสบายดีไหม" ผมถามเขาตามมารยาทมากกว่าอยากรู้ "ทุกคนหากยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีความหวังที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตเพื่อนำชัยชนะกลับไป"เขาตอบอย่างไม่ปิดบังฐานะ
"ทำไมพวกคุณต้องทำสงคราม ทำไมต้องเป็นศัตรูกับคนไทย"
ไม่รู้เหมือนกันว่าถามเพื่ออะไร เขาคงจะเดาความรู้สึกของผมได้จากประโยชน์นั้นเอง เสียงหัวเราะลึกๆจึงแผ่วมาจากลำคอของเขา "ครูไม่ต้องกลัวพวกเราหรอก เพียงแค่เดินไปเป็นเพื่อนถึงปากทางที่ต้องการก็พอแล้ว มันยังอีกนาน เราพอจะเป็นเพื่อนกันได้นี่ จริงมั้ย"
ผมเงียบไม่ตอบคำถามนั้นนึกเห็นใบหน้าและรอยยิ้มของคนรักที่บอกจะรอจนกว่าผมจะกลับไป เธอจะมีโอกาสได้รู้ไหมหนอว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม บนผืนฟ้าสีน้ำเงินเบื้องบนยังคงดาดไปด้วยดาวน้อยใหญ่ อยากรู้นักว่าดวงไหนที่เป็นดาวประจำชีวิตผม เสียงแมลงปีกแข็งที่ยังไม่ยอมหลับนอนบรรเลงเพลงราตรีด้วยท่วงทำนองที่ไม่แปลกไปจากเดิม ผมถอนใจย้ำถามเขาเสียงเรียบด้วยประโยคเดิม
"ทำไมต้องรบกับทหารไทย" ใจผมอยากจะพาดพิงไปถึงเหตุการณ์ในอดีตของรัฐบาลลาวด้วยซ้ำ ผมไม่เคยลืมว่าทุกครั้งที่ทางฝ่ายลาวเดือดร้อน ที่พึ่งของพวกเขาก็คือผืนแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลฝ่ายใดก็ตาม "ผมก็ไม่รู้จนวันนี้ว่าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไทยกับลาวความจริงแล้วไม่ได้มีเจตนาให้มีการปะทะกันเลย มันเป็นเพียงความบังเอิญจากฉากการเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น แต่ผลลัพธ์จากการผิดพลาดเพียงเล็กน้อยทำให้เราถึงกับสูญเสียย่อยยับ" น้ำเสียงของเขาขมขื่น
"พวกเราเคยอยู่ตามชายแดน สะสมกำลังกันมานานตั้งแต่รุ่นปู่ คุณรู้มั้ย ความหวังในชัยชนะของพวกเราส่วนหนึ่งอยู่ที่ผม เรามีกองกำลังสนับสนุนแทรกไปทุกแห่ง กองทัพเล็กๆของเราที่แฝงอยู่ในรูปของกองโจรพร้อมเสมอที่จะเข้าไปรวมกับกองทัพแห่งชาติที่จุดใหญ่ แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่ามันเกิดผิดพลาดจากสาเหตุใด"เขาจบประโยคด้วยเสียงที่เครียดเคร่ง ก็ใครเล่าจะรู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อำนาจ..มันมาจากที่มันมันมาและจะไปสู่ที่ที่มันไป สงคราม...วีรบุรุษ..ผมกลับไปนึกถึงปัญหาเก่าๆอีกจนได้
"คุณรู้มั้ย เคยมีคนกล่าวสุนทรพจน์ว่า ดอกไม้ดีกว่ากระสุนปืน" เขารับฟังคำพูดผมด้วยเสียงหัวเราะลึกเหมือนเดิม
"มันก็เข้าท่าดีนะ สันติภาพน่ะดีกว่าสงครามเสมอ"
เขาทำเสียงลึกๆในลำคอ ผมไม่คิดว่าเขาจะคล้อยตามคำพูดของผม "เมืองไทยของคุณดูสงบและสบายน่าอยู่ทามกลางควันสงครามและพิษสงของเศรษกิจเสื่อมทรามทั่วโลก"
เขาพูดเสียงเนิบๆช้า พลางกระโดดข้ามทางน้ำที่ไหลผ่านทางเกวียนสายนั้น ขยับเป้ให้เข้าที่
"แต่คุณคิดเหมือนผมมั้ย ว่ามันอาจเป็นเพียงท่าทีที่ดูสงบเท่านั้น เมืองไทยคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้งเพื่อชีวิตที่ดีกว่า"
ผมฟังเงียบๆไม่ได้โต้แย้ง เขาช่างไปเอาความคิดเหล่านี้มาสุมไว้ทำไมกันมากมายในสมอง หน้าตาจะดูอ่อนแก่กว่าผมก็คงไม่เท่าไหร่ กลิ่นดอกไม้ป่าโชยมาตามลม นึกถึงคำพูดของคนรักที่สั่งนักหนาว่าให้เอาเอื้องป่าไปฝากด้วย ผมถอนใจชีวิตของผมขณะนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเพียงคนเดียว ชายตามองดูเพื่อนร่วมทางข้างหลังอีกสองคนพบว่า ในความเงียบงันของเขาทั้งสองนั้นยังคงแฝงไว้ด้วยความระมัดระวังและเตรียมพร้อมเสมอ ดาวพร่างพรายยิ้มยั่วเมื่อครู่ก่อนดูริบหรี่เหมือนจะสมเพชในโชคชะตาของผม คงเป็นเพียงแค่ฝันไปละมังว่า จะได้มีโอกาสออกไปพบกับสังคมใหม่ที่มีคนรักรออยู่
"ครูคงรักธรรมชาตินะ" เขาเปรยขึ้นเบาๆผมไม่ตอบ
"ธรรมชาติกับมนุษย์มักจะแยกออกจากกันไม่ได้เสมอ" "แต่มนุษย์บางพวกพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ แบ่งแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ และทำลายธรรมชาติ" ผมพูดไปตามความรูสึกเขาพยักหน้าเห็นด้วย "นั่นเป็นการหนีห่างไปจากความสุขที่แท้จริงทุกที" "มนุษย์ลืมไปว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ"ไม่รู้เหมือนกันว่าผมทำเสียงเย้ยหยัยออกไปเพื่ออะไร "มนุษย์ไม่ได้เป็นพระเจ้านี่นะ..เอ๊ะหรือว่าเป็น.."
เสียงที่ทอดอย่างเจตนาจะยั่วเย้านั่นทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้ เราหัวเราะประสานเสียงกัน ความรู้สึกราวกับคุ้นเคยมานานปี อะไรบางอย่างที่น่ากลัวอยู่เมื่อครู่จางหายไป นกกลางคืนส่งเสียงก้องบินฉวัดเฉวียนเขาเงียบไป เดาไม่ถูกว่าคิดอะไร
"คุณจะไปถึงถ้ำแก้วคืนนี้เลยหรือ"ผมถามเมื่อถึงทางแยกที่ผมเดาว่าเป็นหนทางไปสู่จุดหมายปลายทางของเขา "มีพวกของผมเจ็บหลายคนรออยู่ ผมต้องไปให้ถึงก่อนเช้า เรามีความจำเป็นต้องย้ายที่หลบซ่อนอีกแล้ว"
น้ำเสียงเรียบนั้นทำให้ผมอดร้อนตัวไม่ได้"เรื่องที่ผมพบพวกคุณวันนี้จะไม่มีใครรู้" ผมส่งมือให้เขาเป็นเชิงให้คำมั่นสัญญา แต่มือนั้นกลับตกลงข้างตัวเมื่อเขาวาดปืนขึ้นมาระดับอก ผมใจหายวาบตัวแข็งทื่อความคิดทั้งหมดหยุดสนิท ยินเสียงเรียบเย็นนั่นปรารภ
"ผมเชื่อว่าดอกไม้ดีกว่ากระสุนปืนแต่คุณรู้นี่นะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกจะมีประโยชน์เฉพาะกาลเท่านั้น"
เราประจัญหน้ากันในระยะแค่คืบสบตากันในความสลัวของแสงดาว ผมพยักหน้าให้เขาอย่างไม่มีความหมาย ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับเขาแล้ว โลกทั้งโลกของผมหยุดแค่ตรงนั้น เขาปัดกระบอกปืนขึ้นตวัดเอาดอกไม้ป่าข้างทางตกลงบนอกเสื้อผม ความตกใจมากกว่าที่ทำให้ผมตะปบรับมันไว้ หนามที่ก้านช่อปักแน่นลงไปบนอุ้งมือจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด
"คุณทำท่าเหมือนกลัวดอกไม้" เขาหัวเราะเสียงต่ำ "สันติภาพดีกว่าสงครามแน่ แต่มันมีอยู่ที่ไหนกันเล่า"
เขาหันหลังเดินดุ่มจากไปโดยไม่ลาสักคำ ความหวังที่จะกลับไปใช้ชีวิตเมืองของผมกลับคืนมาในวินาทีนั้น
ผมไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมทางของผมจะได้มีโอกาสเอาเป้ยาเหล่านั้นกลับไปถึงสหายร่วมทุกข์ที่นอนเจ็บรออยู่ได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ขอภาวนาให้ชีวิตของเขารอด วันหนึงข้างหน้าหากเขารอดตายหอบเอาชัยชนะกลับไปเขาก็จะได้เป็นวีรบุรุษ ผมสืบเท้าออกเดินต่อ ดอกไม้สีขาวที่รับไว้ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นหล่นลงบนพื้น ผมกัมลงหยิบมันขึ้นมาเป่าฝุ่น แต่กลีบที่บอบช้ำนั้นกลับหลุดลอยไปตามลมปากจนเหลือแต่เกสร ผมพ่นลมหายใจหนักอึ้งออกทางปากสูดเอาอากาศบริสุทธ์เข้าไปจนเต็มปอดเปรยกับดาวที่ฉ่ำฟ้า
"สหายเอย สันติภาพมีอยู่ทุกหนแห่งแม้แต่ปลายกระบอกปืน"
แสงดาวแห่งศรัทธา
จิตร ภูมิศักดิ์
พร่างพรายแสงดวงดาวน้อยสกาว ส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล ดั่งโคมทองส่องเรืองรุ้งในหทัย เหมือนธงชัยส่องนำจากห้วงทุกข์ทน
พายุฟ้าครืนข่มคุกคาม เดือนลับยามแผ่นดินมืดมน ดาวศรัทธายังส่องแสงเบื้องบน ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่มิวาย
ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย แม้นผืนฟ้ามืดดับเดือนลับละลาย ดาว… ยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน ดาว… ยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง
( ฟ้าเมืองไทย รายสัปดาห์เพื่อความจัดเจนชีวิต ปีที่ 20 ฉบับ ที่ 1002 ปีพ.ศ. 2531)
|