คำตอบก่อนตะวันตกดิน
ภัสรา อุดาการ
ฟ้าใกล้สางแล้ว...จากจุดที่ผมยืนอยู่ มองลงไปเบื้องล่างเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่รายล้อมด้วยหุ บเขาสลับซับซ้อนผมมองเห็นควันสีขาวลอยตัวขึ้นจากหลังคาแฝกของแต่ละครัวเรือน ดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฏโฉมสำหรับรุ่งอรุณ ดาวประกายพรึกเริ่มจะจางแสง มันคงสายไปหากจะถามหาฝูงนก...ที่ร่ำร้องเพรียกกันไปหากิน...ป่านนี้มันคงถึงจุดหมายปลายทาง
ผมทรุดตัวลงนั่งผูกเชือกรองเท้าบนหินสีขุ่นก้อนใหญ่ข้างทางความเหนื่อยยังคงเกาะอยุ๋ที่ปลายจมูก ยินเสียงหัวใจเต้นถี่ระรัว เหลือบดูเป้ข้างตัวแล้วค่อยรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ไม่เลวเสียเลยสำหรับการเที่ยวป่าคราวนี้ ถึงจะเอาจำนวนคนทั้งหมดหารแล้ว ส่วนแบ่งหมูป่าและค้างคาวที่ตกถึงผมก็มากพอที่จะแบ่งปันเผื่อแผ่คนอื่น ๆ นึกถึงเจ้าหมูป่าตัวใหญ่นั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ มันคงเป็นดวงของเรามากกว่า พักแรมส่องป่าอยู่ ๒-๓ คืนไม่เคยได้พบสัตว์ใหญ่จนกระทั่งจะแยกย้ายกันกลับ จึงพบเจ้าหมูป่านอนระทดระทวยซังกะตายหายใจอยู่ริมห้วยข้างทางผ่านของเรา รอยกระสุนเจาะลึกที่โคนกกหางและลำคอหากเป็นหมูเล็กก็คงเสร็จคาที่ ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใครที่ไหนแล้วก็ไม่ติดตามผลงานเสียด้วย
เจ้าวัฒน์เพื่อนครูต่างกลุ่มซึ่งขอติดสอยห้อยตามไปด้วยแวะลงไปล้างหน้าที่ห้วยเหลือบไปพบเข้า ร้องลั่นจนพวกเราตกใจนึกว่าเกิดอุบัติเหตุส่งท้ายเข้าให้แล้ว ผู้ใหญ่เงินจัดการเชือดซ้ำโดยปลอดจากการฝ่าฝืนต่อสู้ มันคงเต็มที่แล้วจริง ๆ ผมเองยังหวั่นว่ามันจะลุกขึ้นมาฮึดสู้ตามสัญชาตญาณ ได้ยินเสียงพวกเราตะโกนร้องบอกให้ระวังตัวกันลั่นไม่รู้ใครเป็นใคร ทุกคนตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ผู้ใหญ่เงินจัดแบ่งสันปันส่วนกันตรงนั้น ทุกคนรับไว้ด้วยความยินดี ก็นึกว่าจะได้เพียงค้างคาวจากในถ้ำติดมือกันไปเท่านั้น...เป็นลาภลอยจริง
ทั้งพ่อและแม่ของผมชอบอาหารป่าทั้งสองคน กินได้ทุกชนิด...ตั้งแต่ค่างบนปลายไม้จนถึงตุ่นในรูดิน ผมจะฝากเพ็ญ เมียจับแต่งของผมข้ามฟากออกไปให้ หล่อนจะต้องข้ามออกไปฝั่งโน้นพรุ่งนี้เช้า เพื่อเอาวงกบหน้าต่างและอุปกรณ์แปรรูปอื่น ๆ ออกไปส่งเจ้าประจำ ผมก็ได้แต่หวังว่า สักวันหล่อนจะถูกจับฐานค้าไม้เถื่อน ความจริงกำหนดออกของหล่อนตั้งแต่เมื่อวันก่อน แต่เพราะผมมัวเพลินส่องไพรจนเกินกำหนดเวลา นี่ถ้าโรงเรียนยังไม่เปิดวันนี้ ผมก็คงยังไม่ออกมาจากป่า คณะของเรากลับออกมาจากถ้ำแก้วอันเป็นสถานที่พักแรมก่อนฟ้าสาง แล้วแยกย้ายกันไปส่วนหนึ่งเข้าหมู่บ้านปาง ส่วนหนึ่งลงท่าเรือเพื่อกลับออกฝั่งโน้นหลังจากได้รับความสุขจากธรรมชาติ แบกเอาความอิ่มใจที่ได้พักผ่อนออกไปเผชิญกับสารพันปัญหาในแวดวงการทำงานต่อไป
ผมเองเป็นคนสุดท้ายที่แยกจากกลุ่มเพราะระยะทางสั้นกว่าคนอื่น ๆ ตัดดอยลูกนี้ลงก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านกลิ่นอายข้าวนึ่งที่เพิ่งสุกโชยมาเตะจมูกมันแทรกไว้ด้วยความอบอุ่น จุดสัมผัสที่เคยประทับใจให้ผุดวาบ ภาพชีวิตและความหลังครั้งเยาว์วัยเต้นระริกอยู่ในภวังค์ เสียงไก่พื้นเมืองตัวเตี้ยหลากสีท่าทางไม่หวั่นสิ่งใด ๆ ในโลกตบปีกกระโดดขึ้นไปโก่งคอขันบนรั้วไม้ไผ่ เสียงขันตอบรับเป็นทอด ๆ กังวานสะท้อนก้องไปมาในหุบเขา ผมมีความรู้สึกว่าไฟในตัวทีมันค่อย ๆ มอดไปตามวันเวลา ถูกเรียกคืนมาอีกครั้งเหมือนการกลับมาเยือนของอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ดอกกุหลาบป่าคลี่กลีบบานอยู่เรี่ยดินแมลงตัวเล็กหน้าตาแปลกอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อแสวงหาอาหาร มันจะรู้หรือเปล่าหนอว่าขณะนี้มนุษย์กำลังประสบปัญหาประชากรล้นโลกและแย่งกันทำมาหากิน
ผมลุกขึ้นเดินดุ่มถึงบ้านพักในโรงเรียน ผู้หญิงคนนั้นยังสงบปากสงบคำเหมือนเคยไม่ได้ตัดพ้อต่อว่าเรื่องผิดเวลาของผมแต่อย่างใด ผมสงสัยว่าในใจหล่อนจะคิดเรื่องอะไรบ้างในวันหนึ่ง ๆ ดูเหมือนว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา หล่อนไม่เคยมีเรื่องโต้แย้งกับผมสักครั้ง หล่อนกุลีกุจอช่วยหยิบจับของออกจากเป้ พลางบอก “จะรีบไปช่วยงานบ้านพี่วัน” ผมพยักหน้ารับไม่คิดอะไรมากไปกว่าการช่วยงานเพื่อนบ้านตามฐานะ ที่หมู่บ้านมีงานกันบ่อย ๆ เป็นโอกาสเดียวที่จะได้พบปะสังสรรค์กันในหมู่ญาติซึ่งแยกครัวออกไปอยู่บ้านหรือหมู่บ้านอื่น
ก็เพราะงานสังสรรค์ประเภทนี้แหละ ที่ทำให้ผมได้ผู้หญิงคนนี้มาในคืนดาวเคียงเดือน โดยเสียเงินสินสอดในภายหลังไม่กี่พันบาท เพื่อนปากไร้เทียมทานของผมคนหนึ่งมันว่าเหมือนซื้อวัวคู่หนึ่ง แต่ผมคิดว่าหล่อนถูกกว่าวัวเสียอีก เพราะนอกจากหล่อนจะอดทนต่อทุกสภาพอารมณ์ของผมแล้ว หล่อนยังเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอีกหลาย ๆชิ้นในบ้าน เรื่อยไปตั้งแต่เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น รถตัดหญ้า เครื่องสูบน้ำ งานทุกอย่างในบ้านหล่อนจัดการหมดเรียบร้อย แต่ถึงกระนั้นผมยังมองหล่อนเป็นศัตรูอยู่ดี
เพราะหล่อนคนนี้เทียวทำให้ผมสิ้นอิสรภาพอย่างไม่ทันตั้งตัวและปลีกตัวออกจากสังคมก่อนเวลาอันสมควร ผมจับงานทำไร่ทำสวนของหล่อนเป็นงานอดิเรก และใช้ชีวิตส่วนใหญ่หมกตัวอยู่กับธรรมชาติ แต่บางครั้งผมก็บอกกับตัวเองว่า เราพบชีวิตสุขแล้ว หลายปีในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ ผมคลุกคลีอยู่กับชาวบ้าน ขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาหลายอย่างไม่ต่างไปจากชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เท่าไหร่นัก ตลอดเวลาที่ผ่านมาหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้เคยเป็นหมู่บ้านที่สงบ ปกครองกันเองโดยปราศจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ค่อยมีคนแปลกหน้าเข้ามาที่นี่บ่อยนัก จนกระทั่งเทคโนโลยีที่นี่เริ่มหลากหลาย มีสื่อสาร สิ่งตีพิมพ์เข้ามาความไม่รู้หนังสือ และการขาดพิจารณาญาณแยกแยะผิดถูก ทำให้เกิดลัทธิเอาอย่างหนังสือพิมพ์ เกิดคดีแปลก ๆ เป็นที่เขย่าขวัญชาวบ้านมากขึ้น
เคยมีครั้งหนึ่งที่ครูสตรีที่นี่ถึงกับนั่งร้องไห้ไม่ยอมหลับนอนแทบประสาทเสียในคืนหนึ่งที่ได้ยินเสียงระเบิดตูม ๆ ลงใกล้บ้านพัก ช่วงนั้นเผอิญผมออกมาประชุมเร่งรัดคุณภาพการศึกษาที่จังหวัด เธอเล่าว่า เพียงตูมแรกที่ได้ยิน เธอก็นั่งตัวแข็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว รู้สึกถึงความสูญเสีย ใจนึกถึงแต่รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของเธอ คิดว่ารุ่งเช้าจะเก็บข้าวของกลับบ้าน ถ้าขอย้ายฉุกเฉินไม่ได้ก็จะขอลาออกเสียเลย แล้วก็ยังนั่งใจเต้นโครม ๆ วาดมโนภาพไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเช้าลงมาดูก็ยังพบรถจอดอยู่ที่เดิม สอบถามชาวบ้านจึงได้ทราบว่ามีพวกทหารเกณฑ์ขโมยอาวุธหลบหนีกลับเข้ามาซุกซ่อนตัวอยู่ คืนที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้ข่าวเจ้าหน้าที่จะเข้ามาเลยหลบเข้าไปเล่นระเบิดนอกหมู่บ้าน แต่เนื่องจากโรงเรียนอยู่ในที่ลาดต่ำทำให้เสียงของระเบิดราวกับอยู่ใกล้ ๆ เพ็ญยังบอกกลัวแทบขาดใจเพราะอยู่คนเดียว แม้จะเป็นคนพื้นเพที่นี่ก็ตามที บางสิ่งบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงเร็ว จนเธอเองก็ตามไม่ทัน แม้ผมจะพยายามฝึกให้เธอฟังข่าวพร้อมกับวิเคราะห์ข่าวทุกวี่ทุกวัน ความรู้สึกของหล่อนค่อนข้างช้า และมีความเฉื่อยอารมณ์พอ ๆ กับสมองนั่นเทียว
ผมจัดการเรื่องส่วนตัวเสร็จก็ดุ่มเดินไปโรงเรียน สังเกตเห็นนักเรียนจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็ไม่สนใจอะไรมากนัก คิดว่าเป็นธรรมดาของนักเรียนที่ได้ออกไปภายนอกกลับมา คงถ่ายทอดเรื่องราวให้เพื่อนฟังกันอย่างตื่นเต้น จัดการกับนักเรียนชั้นต่าง ๆ ให้ทำความสะอาดชั้นเรียน เตรียมหนังสือเรียนทั้งป.ต้น-ป.ปลายเผื่อครูที่เดินทางเข้ามายังไม่ถึงไม่อยากให้วุ่นวายส่งเสียงดังจึงสั่งงานให้ทำ อะไรจะง่ายไปกว่าการให้เขียนเรียงความเล่า ผมวางยาเพื่อความสงบโดยการให้เขียนความเรียงสั้น ๆ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในบ้านเรา จุดประสงค์เพื่อรายงานความเป็นไปของหมู่บ้าน แล้วก็ไปดูเด็กชั้นอื่น ๆ
จนกระทั่งบ่ายจัดใกล้โรงเรียนเลิกจึงไปพลิกดูเรียงความของนักเรียน แล้วก็สะดุดตากับเรื่องของเด็กคนหนึ่ง “เหตุเกิดที่งอมผาแตก” จึงหยุดอ่านรายละเอียด ปรากฏเรื่องราวฆาตกรรมเข้าให้แล้ว บริเวณไม่ไกลจากที่เราพักแรมสักเท่าใดนัก ผมจึงรีบเรียกเด็กหญิงเจ้าของเรียงความมาสอบถาม ก็ได้รับคำยืนยันจากอีกหลาย ๆ คนที่รู้เรื่องเกิดการฆ่าข่มขืนสาวชาวบ้านริมไร่ข้าวโพดที่งอมผาแตก ผู้ตายก็คือลูกสาวของอาวันที่เพ็ญไปช่วยงานเมื่อเช้านั่นเอง
เย็นวันนั้นผมรีบกลับบ้านไปซักถามเพ็ญ เธอเล่าว่าไม่มีใครรู้ตัวฆาตกรแต่สันนิษฐานกันว่า อาจเป็นทหารป่าเพราะมีรอยรองเท้าเดินป่า และชาวบ้านได้ยินเสียงร้องเพลงชุมนุมกันในค่ำคืน “บ้า” ผมหลุดปากอุทาน ก็เสียงที่ว่านั่นมันมาจากเสียงพวกชาวเราตีเกราะเคาะไม้ร้องเพลงแก้เหงาระหว่างรอนายพรานที่เป็นหน่วยเสบียงออกไปส่องสัตว์ในคืนพักแรม เครื่องดนตรีก็หนีไม่พ้นเศษไม้ซางที่เหลือจากการหลามข้าว เสียงของเราดังลั่นป่าจนพรานบ่นกันงึมว่าไล่เหยื่อไปหมด
ทั้งที่ในป่านี้เคยมีสัตว์ชุกชุม แต่พักแรมคืนนั้นเราต้องส่งหนานจัดออกไปส่องปูผามาหลามกับกล้วยป่า นึกถึงหนานจัดผมเบิกตาโพลง ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามา หรือว่าหนานจัด....เหลือเชื่อ หนานจัดใช้เวลา ๒๐ นาทีจะเดินไปก่อเหตุที่งอมผาแตกแล้วปั้นหน้ากบับค่ายพักเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด.แต่ผมสงสัย..วิญญาณนักสืบของผมเริ่มทำงาน....ผ้าที่หนานจัดถือติดมือกลับมานั่นเล่า...ผมเห็นหนานจัดใช้เศษผ้าที่บอกว่าเก็บได้ที่ห้วยเช็ดกระบอกปืนลูกซอง ผมเองยังรับต่อมาเช็ดเลือดค้างคาวที่กระเซ็นเปื้อนพื้นหินที่ผมนั่งขณะดูผู้ใหญ่เงินถลกหนังค้างคาว เศษผ้านั่นเป็นเพียงชิ้นส่วนที่มีรอยฉีกขาด สีเขียวขี้ม้ามีตราประทับตำแหน่งฐานลางเลือน ผมเองจำได้คลับคล้ายคลับคลา...มันคุ้นตาอยู่..
ที่เกิดเหตุอยู่ใกล้กับปางไม้ มีถนนสำหรับลากไม้ผ่าน แต่ต้องไม่ใช่พวกเด็กปางไม้เพราะคนเหล่านั้นจะไม่ไปไหนลำพังคนเดียว แถบนี้ส่วนใหญ่จะถูกเกณฑ์มาจากถิ่นอื่น เพ็ญเล่าว่า จากศพและร่องรอยการต่อสู้ที่ชาวบ้านไปพบ สันนิษฐานกันว่าฆาตกรมีคนเดียวจากศพที่ถูกทุบศีรษะด้วยก้อนหินขนาดใหญ่จากทางเบื้องหลังแล้วทุบซ้ำที่จมูกปากจนเละไปทั้งหน้าฟันหลุดหมดปาก ผมฟังเพ็ญเล่าแล้วเริ่มแน่ใจว่า ฆาตกรต้องเป็นคนในหมู่บ้านแน่ วิธีการที่ฆาตกรใช้ทารุณอย่างนั้นผมนึกถึงภาพการฆ่าไก่ของพวกเขาที่จับขาทั้งสองของไก่เอาหัวห้อยลง จับหินโขกหัวไก่ให้เลือดหยดลงในถ้วยที่รองอยู่จนกว่ามันจะตายสนิท...ไม่ผิดแน่...แต่มันจะเป็นใครเล่า..
เพ็ญเล่าต่อไปว่าหนานรุ่งเป็นคนไปพบศพก่อน แล้วกลับมาตามชาวบ้านออกไปช่วยกัน พ่อแม่ของผู้ตายบอกว่าให้เผาเสียที่นั่นเลยตามประเพณี หนานรุ่งที่เพ็ญพูดถึงเข้ามาอยู่ในข่ายสงสัยของผมทันที หนานรุ่งเป็นคนหนุ่มอยู่ในวัยเลยเบญจเพสสักหน่อย ลูกถี่มาก ช่วงนี้เมียก็กำลังท้องแก่อีกแล้ว เล่ากันว่าใครแนะนำให้พาเมียไปคุมกำเนิดแกก็เป็นไม่ยอมเด็ดขาดกลัวเมียจะทำงานหนักไม่ได้ ที่น่าขันที่สุดคือกลัวจะเสียดุลทางเพศ ผมเคยบอกให้แกไปตัดผมโกนหนวดเสียทีก็ได้แต่ยิ้มอวดฟันซี่โตที่เคลือบด้วยคราบบุหรี่ หนานรุ่งจึงเป็นพรานที่ดูหน้ากลัวทั้งที่อายุก็ยังไม่ทันเท่าไร นอกจากจะจับสัตว์ป่าขายเป็นอาชีพแล้ว ยามว่างก็รับจ้างขนของออกส่งลงท่าเรือด้วย ที่สำคัญพรุ่งนี้เพ็ญจะต้องไปกับเขา ผมรู้สึกกระตุกนิด ๆ เมื่อนึกไปถึงว่า อะไรจะเกิดขึ้นหากปล่อยให้หล่อนเดินทางไปโดยลำพังกับฆาตกร ผมนึกดีใจที่ยังรู้เรื่องและหาตัวฆาตกรได้ด้วยตัวเองก่อนที่มันจะสายเกินไป ผมหันไปสั่งเพ็ญให้บอกเลิกนัดหนานรุ่งเสียแล้วไปกับสนแทน สนเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทของผม มีอาชีพพรานป่าและรับจ้างบรรทุกของเช่นเดียวกัน ผมบอกเพ็ญให้เตรียมเสื้อผ้าไปพักที่บ้านสนเลยเพราะบ้านของสนอยู่ฝั่งตรงข้ามห้วยสักเวลาออกไปตอนเช้ามืดจะได้ไม้ต้องข้ามห้วย ในฤดูฝนอย่างนี้มักมีน้ำป่าหลากจนข้ามห้วยไม่ได้อยู่เป็นประจำ ผมสั่งเธอเสร็จก็ลงจากบ้านพักเพื่อแวะบอกสนและเลยไปสังสรรค์สโมสรตามเรื่อง เพ็ญเดินตามลงมาส่งห่อกับแกล้มให้ตามความเคยชิน
ผมเดินลัดข้ามสะพานวัวที่ห้วยสักถึงบ้านสน พบบ้านเงียบกริบ...เด็กข้างบ้านวิ่งมาบอกว่า พาเพื่อนบ้านกลับเข้าไปเอาหมูป่า ผมหัวเราะในใจนึกถึงหมูป่าที่ได้มา...ช้าไปแล้วสนเอ๋ย... ผมคาดเอาว่าเขาไปแล้วไม่พบก็คงกลับเข้ามาภายในเย็นนี้ จึงสั่งเด็กชายเพื่อนบ้านนั้นว่า หากเย็นแล้วเพ็ญยังไม่มา ให้สนไปรับที่บ้านพักด้วย แล้วผมก็หิ้วเครื่องแกล้มอาหารเสริมของผม ตรงแน่วไปบ้านลุงอินทร์ สโมสรย่อย ๆ กลางหมู่บ้าน กลางวงเหล้าที่บ้านลุงอินทร์นั่นเองที่ผมพบกับความจริง...วันที่เกิดเหตุ...เจ้าพงเข้าไปในไร่ของอาสินกับเจ้าไข่ ไร่นั่นอยู่คนละฟากเขาตรงข้ามมองเห็นแต่ไม่ชัดเท่าไหร่
“พงมันว่า เห็นผู้ชายรูปร่างท่าทางยังหนุ่ม ใส่เสื้อยืดสีเขียวทหาร มีผ้าขาวม้าคาดพุง กางเกงสีมืด ๆ ใสรองเท้าบู๊ท คลับคลายคลับคลาว่าจะเป็นหนุ่มบ้านเรา แต่ไม่แน่ใจ มันเข้าไปเอาไก่ในไร่ของอาสิน จับมัดขาอุ้มออกมาคนละตัว ได้แล้วก็รีบมาไม่ทันดูว่าหายไปทางไหน.."
ฟังแล้วท่าทางต้มแซบไก่ในชามนั้นจะมีที่มาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมไม่สนใจแล้ว...คำพูดของลุงอินทร์ดึงความคิดและภวังค์ผมออกจากวงสนทนา จากการแต่งกายอย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้นผ้าขาวม้าที่...ผมครางในใจมือเริ่มสั่นจนต้องวางแก้วลง...สน...หนุ่มเจ้าของหมูป่าตัวนั้น..เหตุการณ์มันคงเกิดขึ้นระหว่างที่เจ้าสนเดินตามรอยหมูป่า ผมมองชามแกงหมูป่าอย่างสับสน อยากเค้นเอาความจริงออกมา...นึกย้อนไป ผมเคยให้เสื้อยืดเจ้าสนไปตัวหนึ่งเมื่อหลายปี ถูกแล้ว ตราประทับที่เห็นบนชิ้นผ้าที่ฉีกขาดผืนนั้น...ชิ้นที่หนานจัดส่งต่อให้ผมเช็ดเลือดค้างคาว...มันเป็นตำแหน่งฐานประจำการของพี่ชายผมซึ่งหยิบยื่นให้ผมมาบริจาคต่อ...ใช่...เจ้าสนมันใส่จนซีดแล้วซีดอีก...ผมยืดตัวตาเบิกโพลง
มองไปเบื้องนอก...ฟ้าครึ้มฝน ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า...ความคิดทั้งหมดไปหยุดอยู่ที่หล่อน...นึกถึงวงหน้าจิ้มลิ้ม ปากอิ่มได้รูป ดวงตาซื่อบริสุทธิ์ แววที่บ่งชัดถึงความเทิดทูนบูชาผมไม่รู้คลาย นึกถึงเรือนร่างอวบอบอุ่น ป่านนี้หล่อนจะหอบหิ้วสัมภาระไปบ้านเจ้าสน ฆาตกรโหดนั่นตามคำสั่งของผมหรือยัง ผมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้สึกเสียวปลาบแปลบราวจะขาดใจเสียตรงนั้น ก็ได้ข้อสรุปของหัวใจตัวเองตอนนั้น ใครกันนะช่างกล่าวหาว่าผมไม่รักเมีย หากพูดให้ได้ยินอีกครั้ง เจ้าคนพูดจะยังได้ยืนพูดอยู่บนขาทั้งสองข้างของตัวเองอีกก็ให้มันรู้ไป
ให้ตายเถอะ..เป็นครั้งแรกในชีวิตจริง ๆ ที่ผมวางแก้วเหล้าวิ่งกลับไปหาเมียก่อนตะวันตกดิน
( ฟ้าเมืองไทย รายสัปดาห์เพื่อความจัดเจนชีวิต ปีที่ 20 ฉบับ ที่ 1016 ปีพ.ศ. 2531)
|