เรื่อง: กฤษฎี โพธิทัต
รูปร่างกับความสวยความงามเป็นของคู่กันกับวัยรุ่นสาวส่วนมาก เมื่อเด็กหญิงเข้าสู่วัยรุ่นรูปร่างมีการเปลี่ยนแปลง มีส่วนขยายและโค้งเว้า จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มักใส่ใจกับรูปร่างของตนมากขึ้น แต่วัยรุ่นมักมีความคิดเรื่องน้ำหนัก ส่วนสูง ที่ไม่เป็นไปตามสภาพจริงนัก โดยเฉพาะวัยรุ่นสาวๆ เหล่านี้มักมองว่าตนเองอ้วนเกินไป
....ขณะที่คนผอมมักถูกมองว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ สวย ใครๆ ต่างก็นิยมชมชอบ ป็อปปูลาร์น่าดู ซึ่งภาพลักษณ์แบบนี้เห็นกันได้มากในนิตยสาร โฆษณา และโทรทัศน์ต่างๆ !
สาววัยรุ่นจึงมักเลือกที่จะไดเอทเพื่อที่จะให้รูปร่างเหมือนดาราและนางแบบ วิธีการไดเอทอาจจะไม่ถูกต้องนัก และอาจทำร้ายร่างกายตนเอง โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาลดความอ้วน ลดอาหาร หรือเลี่ยงการรับประทานอาหารหมวดใดหมวดหนึ่ง วิธีพวกนี้ทำให้ร่างกายได้รับสารที่จำเป็นไม่พอสำหรับการเจริญเติบโต และทำให้ไม่มีพละกำลังทำกิจกรรมต่างๆ
วัยรุ่นที่อ้วนจริงควรได้รับคำปรึกษาจากนักกำหนดอาหาร เรื่องอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับควบคุมน้ำหนักที่ไม่ทำให้เสียสุขภาพ การที่คิดว่าจะต้องลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัม ภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อที่จะใส่ชุดว่ายน้ำให้ดูสวยนั้น เป็นไปไม่ได้ และไม่ดีต่อสุขภาพด้วย!
บางครั้งความคิดอยากผอมนี้นำไปสู่ความหลงใหล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก สาวๆ วัยรุ่นอาจมีความคิดบิดเบือนเกี่ยวกับรูปร่างของตนเอง เขาจะมองตนเองว่าอ้วนทั้งๆ ที่มีรูปร่างผอมมาก ความหลงใหลในความผอมนี้เป็นผลทำให้มีนิสัยการกินผิดปกติไป ที่เรียกว่า eating disorder วัยรุ่นบางคนใช้วิธีอดอาหารมากๆ หรือบางคนอาจกินอาหารในปริมาณมากและล้วงคอให้อาเจียนออกมา ร่วมกับการใช้ยาระบายในปริมาณสูง ผลที่ตามมาคือร่างกายขาดอาหาร และถึงขั้นเสียชีวิตได้ วัยรุ่นที่มีนิสัยการกินผิดปกติควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที
โรคแอนโนเร็กเซีย จัดอยู่ในกลุ่มผู้มีนิสัยการกินผิดปกติ เขาจะมีน้ำหนักลดลงอย่างมาก เนื่องจากมีเจตนาที่จะหยุดกินอาหารหรือกินในปริมาณน้อยมาก คำว่า “แอนโนเร็กเซีย” ภาษากรีกแปลว่า “ไม่มีความหิว” แต่จริงๆ แล้วผู้ที่เป็นแอนโนเร็กเซียในที่นี้มีความหิวมาก แต่ปฏิเสธความหิวนี้ออกไป
แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคแอนโนเร็กเซียเมื่อ…
- มีน้ำหนักต่ำกว่า 15% ของน้ำหนักปกติ (วัดจากส่วนสูงและอายุ)
- ยังลดน้ำหนักอยู่ และไม่ยอมหรือสามารถเลิกได้
- ผู้หญิงที่ขาดประจำเดือนติดต่อกัน 3 เดือน
- มีความคิดบิดเบือนเกี่ยวกับขนาดและรูปร่างของตน
- มีความกลัว “อ้วน” มาก
ถึงแม้ว่าวัยรุ่นอาจไม่มีอาการทั้งหมดนี้ แต่อาจมีอาการบางอย่างของแอนโนเร็กเซีย ก็ยังควรที่จะปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรักษา บางคนที่กลัวอ้วนอาจมีอาการของโรคบูลีเมียคือใช้วิธีล้วงคอให้อาเจียน ใช้ยาระบาย หรือออกกำลังกายหักโหมร่วมด้วย
วัยรุ่นที่เริ่มลดน้ำหนักคงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแอนโนเร็กเซีย แต่แอนโนเร็กเซียมักเกิดขึ้นจากการไดเอท ซึ่งมีผลกระทบทางจิตใจอย่างมาก เมื่อน้ำหนักเริ่มลงวัยรุ่นจะเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้อยากทำต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นหรือความเป็นตัวของตัวเองในช่วงสั้นๆ
เมื่อโรคแอนโนเร็กเซียเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ผู้เป็นมักทำคือ “ปฏิเสธ” ว่าตัวเองผิดปกติเมื่อคนอื่นแสดงความห่วงใย ปฏิเสธว่าตนต้องการอาหารมากกว่าที่รับประทานอยู่ และปฏิเสธที่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น
ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเข้า ร่างกายก็จะยิ่งถูกทำลายมากขึ้น ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้จากแอนโนเร็กเซีย คือ
- ผิวแห้ง ผมร่วง
- ตาลึกโบ๋ หน้าตอบ
- มีรอยฟกช้ำง่าย
- เห็นกระดูกโผล่ออกมาชัดเจน
- มือ เท้าเย็น
- วัยรุ่นที่ยังไม่มีประจำเดือน อาจเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นช้า หรือถ้ามีประจำเดือนแล้วฮอร์โมนที่ลดลงจะทำให้ประจำเดือนขาดไป หรือไม่มีเลย
- มีอารมณ์แปรปรวน อาจมีโรคซึมเศร้า ใจร้อน โมโหง่าย หรืออาจถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย
- มวลกระดูกลดลง มีความเสี่ยงของกระดูกหักง่าย และโรคกระดูกพรุน
- นอนไม่หลับ ความดันโลหิตต่ำ ท้องผูก มีอาการหนาวสั่น ไตวาย หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวาย และถึงกับเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นแอนโนเร็กเซียก็สามารถรักษาให้หายมีสุขภาพดีได้ โดยควรได้รับการดูแลจากแพทย์ จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา และนักกำหนดอาหาร ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนนิสัยการกินจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ผู้ที่เป็นแอนโนเร็กเซียจะรู้สึกดีขึ้นและเป็นสุขกับชีวิตทุกด้านเมื่อหายแล้ว
วัยรุ่นควรเข้าใจว่าไม่มีอาหารที่ “ดี” หรือ “ไม่ดี” อาหารทุกอย่างสามารถนำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการรับประทานอาหารได้ “อาหารเพื่อสุขภาพ” คืออาหารจากทุกหมวดหมู่ ได้แก่ ข้าว ธัญพืช ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อสัตว์ เต้าหู้และไขมัน ไม่มีอาหารใดอาหารหนึ่งที่มีสารอาหารครบ ดังนั้นเราจึงต้องการอาหารหลากหลายจากหมวดต่างๆ
วัยรุ่นที่พยายามลดน้ำหนักมากๆ คงไม่ได้รับแคลเซียม และธาตุเหล็กเพียงพอ ซึ่งเป็นสารอาหารที่วัยรุ่นต้องการเพิ่มขึ้น
ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงของ growth spurt คือมีการเจริญเติบโตรวดเร็วมาก แคลเซียมที่ไปใช้สร้างกระดูกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง วัยรุ่นต้องการแคลเซียมวันละ 1,300 มิลลิกรัม เท่ากับการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง 3-4 ส่วนต่อวัน ได้แก่ นมหรือโยเกิร์ต 1 แก้ว (เท่ากับ 1 ส่วน) งาดำ 1 ช้อนโต๊ะ ปลาเล็กปลาน้อยหรือปลาซาร์ดีน 2 ช้อนโต๊ะ เป็นต้น
วัยรุ่นเป็นช่วงที่มีกิจกรรมทำเยอะ นอนไม่พอ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่อีกสาเหตุหนึ่งคือ การขาดธาตุเหล็ก โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงที่มีประจำเดือนแล้ว ต้องการธาตุเหล็กมากขึ้นเพื่อมาทดแทนเหล็กที่หายไปกับเลือด และทั้งหญิงและชายมีกล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นมีเลือดหล่อเลี้ยงเพิ่มขึ้น ความต้องการธาตุเหล็กเพื่อนำไปใช้สร้างเม็ดเลือดควรมากขึ้นตาม
ธาตุเหล็กมีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เมล็ดถั่ว อาหารทะเล ซีเรียลที่เสริมธาตุเหล็ก การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง (ผัก ผลไม้) ร่วมด้วย จะทำให้ธาตุเหล็กถูกดูดซึมได้ดี ตัวอย่างเช่น ถ้ารับประทานข้าวผัดหมูควรมีมะเขือเทศร่วมด้วย (หมูมีธาตุเหล็กสูง มะเขือเทศมีวิตามินซีสูง) และอาจตบท้ายด้วยผลไม้เพื่อเพิ่มวิตามินซี
ผู้ปกครองควรสอนลูกๆ วัยรุ่นถึงการเลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์ โดย
- ไม่ซื้อขนมจุบจิบที่มีไขมันสูงไว้ที่บ้าน ทดแทนด้วยผักผลไม้ ที่หั่นหรือทำให้สุก เก็บไว้ในตู้เย็นเสมอ
- ให้เขาช่วยตัดสินใจ เลือกเมนูอาหาร ช่วยจ่ายตลาด และช่วยทำอาหาร
- เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับวัยรุ่นโดยเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และไม่สูบบุหรี่
- ถ้าพวกเขาเลือกรับประทานมังสวิรัติ ควรสนับสนุน และสอนให้รู้จักเลือกอาหารเพื่อให้ได้โปรตีนเพียงพอ นั่นคือ ควรทดแทนเนื้อสัตว์ด้วยเมล็ดถั่ว ธัญพืช ถั่วเหลือง เต้าหู้ และโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ (โปรตีนเกษตร) และอาจมีไข่หรือนมด้วย ถ้าไม่ดื่มนมควรทดแทนด้วยอาหารที่มีแคลเซียมสูงอย่างอื่น ได้แก่ นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม งาดำ และผักใบเขียว
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน ควรสนับสนุนให้วัยรุ่นออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ผู้ปกครองอาจร่วมด้วยทำเป็นกิจกรรมของครอบครัว
ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ วัยรุ่นที่ไม่อยากมีน้ำหนักเกินควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจากทุกหมวดหมู่ และออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ เลี่ยงการไดเอทโดยการอดอาหาร หรือการรับประทานยาลดน้ำหนักโดยไม่จำเป็นเพราะอาจมีผลเสียต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today |