Neric-Club.Com
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
14326450  

คลีนิคสุขภาพ

Computer vision syndrome

เรื่อง ศ.พญ.สกาวรัตน์  คุณาวิศรุต

 

มีคนกล่าวว่าในยุคปัจจุบันถ้าจะให้ดำเนินชีวิตมีความสุข มีความก้าวหน้าไปถึงจุดสูงสุดตามความสามารถของตนแล้วจะต้องมีความรู้ 3 ภาษาให้ถ่องแท้ ภาษาแรก คือภาษาแม่ ภาษาชาติที่ตนกำเนิดมาสำหรับพวกเราก็คือภาษาไทย ภาษาที่สองคือภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารกับชาวโลกเพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล ในยุคก่อนการรู้แค่ 2 ภาษา ก็เพียงพอแล้ว ภาษาที่เพิ่มขึ้นมาในยุคนี้เป็นภาษาที่ 3 คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ 

 
ภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งย่นโลกเราให้มาอยู่ใกล้ชิดกันเป็นโลกที่ไร้พรมแดน ความรู้ที่ได้จากภาษาคอมพิวเตอร์มีมากมายเหลือคณานับ และก็เป็นไปตามสัจธรรม สิ่งใดมีแต่คุณไม่มีโทษนั้นหายาก ภาษาทางคอมพิวเตอร์หรือสื่อทาง internet จากคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน มีคุณประโยชน์มากมาย แต่ก็มีโทษเช่นกันเพราะอาจเป็นสื่อในทางไม่ดี  เป็นช่องทางของมิจฉาชีพก่อให้เกิดผลร้ายแรงต่อผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นอกจานี้การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ อาจก่อให้เกิดการเจ็บปวดทางร่างกาย หรือที่หลายๆ คนเรียกกันว่า  “computer vision syndrome” อันหมายถึง อาการผิดปกติหลายๆ อย่างอันเนื่องมาจากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นั่นเอง กล่าวกันว่าอาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75 ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อาการในบางคนอาจเป็นเล็กๆ น้อยๆ  ไม่บั่นทอนการทำงานหรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็นวันก็หายไป  บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ  หรือบางคนถึงกลับเลิกใช้คอมพิวเตอร์ไปก็มีบ้าง อาการของภาวะนี้พบได้หลายอย่าง เช่น
  • ตาเมื่อยล้า
  • ตาแห้ง
  • แสบตา
  • ตาสู้แสงไม่ได้
  • ตาพร่ามัว
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดเมื่อยบ่า ไหล่ คอ หรือปวดหลัง

 

อาการเหล่านี้เกิดจากสาเหตุอะไรกันบ้างและจะแก้ไขได้อย่างไร

  1. สาเหตุเพราะผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ค่อยกระพริบตา ปกติแล้วเราทุกคนจะต้องกระพริบตาอยู่เสมอ เป็นการเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่วๆ โดยมีอัตราการกระพริบ 20 ครั้งต่อนาที หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบจะลดลง โดยเฉพาะการจ้องคอมพิวเตอร์การกระพริบตาจะลดลงกว่า 60 % ทำให้ผิวตาแห้ง ก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกฝืดๆ ในตา


    วิธีแก้ไข ถ้ารู้สึกตัวว่าจ้องหน้าจอนานเกินไป ก็ให้กระพริบตาให้บ่อยขึ้น หรือพักสายตาโดยการละสายตาจากคอมพิวเตอร์ หลังจากใช้ไปประมาณ 15-30 นาที หรืออาจใช้ยาหล่อลื่นลูกตาประเภทน้ำตาเทียม

  2. แสงจ้า และแสงสะท้อน (Glare reflection) จากจอคอมพิวเตอร์ทำให้ตาของเราเมื่อยล้า ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างส่องปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ทำให้เมื่อยตาล้าง่าย


    วิธีแก้ไข จัดแสงไฟและตำแหน่งจอภาพให้เหมาะสม อย่าให้จอภาพหันหน้าเข้าหน้าต่างหรืออยู่หน้าต่อหน้าต่าง โคมไฟที่ส่องหน้าตรงๆ ลงมาอาจทำให้เกิดแสงจ้า น่าจะเปลี่ยนเป็นหลอดไฟที่กระจายทั่วๆ ไป หรือโคมไฟที่ส่องเฉพาะกระดาษอย่าให้แสงปะทะกับจอภาพและตาผู้ใช้


    นอกจากนี้ควรปรับคลื่นแสงที่หน้าจอ (Refresh rate) ซึ่งเครื่องส่วนใหญ่จะปรับอยู่ที่ 60 Hg ซึ่งขนาดนี้ทำให้เกิดแสงกระพริบ ทำให้ภาพบนจอเต้นกระตุ้นให้เราต้องปรับตาเพื่อโฟกัสใหม่อยู่เรื่อยๆ ทำให้ตาเมื่อยล้าได้ ควรปรับความถี่ให้อยู่ระดับ 70-80 Hg จะทำให้จอภาพเต้นน้อยลง สบายตาขึ้น

  3. การออกแบบและการจัดภาพ ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพให้เหมาะสม ควรจัดจอภาพให้อยู่ในระยะพอเหมาะที่ตามองสบายๆ ไม่ต้องเพ่ง โดยเฉลี่ยระยะจากตาถึงจอภาพควรเป็น 0.45 ถึง 0.50 เมตร ตาอยู่สูงกว่าจอภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้แว่นตาแบบ Bifocal (คือแว่นสายตาที่มองทั้งระยะใกล้และไกล) จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตาเพื่อตาจะได้มองตรงกับเลนส์แว่นตาที่ใช้มองใกล้ การตั้งจอคอมพิวเตอร์สูงกว่าระดับ จะทำให้ผู้ใช้ต้องแหงนหน้ามอง การแหงนหน้าอยู่ประจำทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ง่าย


    สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องใช้แว่นสายตามองทั้งระยะไกลและใกล้ หากใช้แว่นตานั้นทำงาน คอมพิวเตอร์นานๆ มีอาการปวดเมื่อยในตามาก อาจต้องปรึกษาจักษุแพทย์พิจารณาทำแว่นสายตาที่เห็นระยะจอคอมพิวเตอร์และตัวหนังสือที่เหมาะสม

  4. สายตาที่ผิดปกติอยู่เดิม เช่น มีสายตาสั้น ยาว หรือเอียง หรือสายตาผู้สูงอายุ ควรแก้ไขสายตาให้มองเห็นชัดที่สุด จะได้ไม่ต้องเพ่งโดยไม่จำเป็น มีอยู่เสมอๆ ที่มีสายตาผิดปกติไม่มากถ้าทำงานตามปกติไม่มีอาการอะไร  แต่ถ้ามาทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ทำให้ต้องจ้องจอภาพ ต้องมองแสงกระพริบจากจอภาพ มองแสงสะท้อนตลอดจนแสงจ้าจากจอรับภาพ ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าหรืออาการของ “Computer vision syndrome” ได้ การแก้ไขสภาวะบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ทำให้อาการผิดปกตินี้ทุเลาลงไปได้

  5. บางรายหากมีโรคบางอย่างอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ หรือแม้แต่เยื่อบุตาอักเสบ ตลอดจนโรคทางกาย เช่น โรคไซนัสอักเสบ ไข้หวัด ร่างกายทั่วไปอ่อนเพลีย จะทำให้การปรับสายตาเพื่อการมองเห็นชัดทำให้เกิดการปวดเมื่อยนัยน์ตาได้ง่าย

  6. ที่ไม่ควรละเลยอีกอย่างของภาวะนี้ก็คือ การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ไม่ว่าจะเกิดจากงานเร่ง หรือมีหน้าที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเดียวก็ตาม ย่อมเกิดอาการได้ง่าย ทุก 2 ชั่วโมง ที่จ้องจอภาพควรพักสายตาประมาณ 15 นาที โดยมองออกไปไกลๆ หรือหลับตาเฉยๆ หากเป็นไปได้ควรทำงานที่ต้องจ้องจอภาพวันละไม่เกิน 4 ชั่วโมง เวลาที่เหลือไปทำงานอย่างอื่นบ้าง

 

โดยสรุปอาการของ Computer vision syndrome แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้รำคาญ ทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลง หากได้รับการแก้ไขจะทำให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำงานอย่างเป็นสุขขึ้นและวิธีการแก้ไขส่วนใหญ่ทำได้ไม่ยาก


ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today


หน้าที่ :: 76   77   78   79   80   81   82   83   84   85   86  


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved