Neric-Club.Com
|
|
|
นิตยสารออนไลน์
|
|
|
มุมเบ็ดเตล็ด
|
|
|
|
|
|
|
คลีนิคสุขภาพ |
|
|
สุขภาพดีเริ่มที่ลำใส้ จาก นิตยสาร ผู้หญิง วันนี้
เมื่อคืนนี้ดิฉันมีอาการนอนไม่หลับทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนที่หัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที พลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบว่าวันนี้เราไปทำอะไรมาบ้าง ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เรามีชีวิตที่รีบเร่งจนลืมทำธุระสำคัญยิ่ง นั่นคือการขจัดเอาของเสียออกจากร่างกายเพราะรีบออกจากบ้านตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดมิด ไปว่ายน้ำแล้วเจอะเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนาน คุยกันตั้งแต่ในสระน้ำจนอาบน้ำแต่ตัวเสร็จ แล้วก็ต้องรีบไปทำธุระทีนัดไว้ กว่าจะเสร็จเอาช่วงบ่ายก็รีบกลับบ้านที่เขาใหญ่ เมื่อมาถึงก็มัวติดพันอยู่กับธุระในครัว จนอาบน้ำเสร็จมารู้ตัวอีกทีก็นอนตาไม่หลับเสียแล้ว เมื่อระลึกได้ดังนี้ดิฉันจึงรู้สาเหตุของการนอนไม่หลับ รีบลุกขึ้นมาบริหารท่าโยคะที่ช่วยให้ลำไส้บีบตัว ดื่มน้ำอีกทางหนึ่งปรากฏว่าไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำจัดการกับการถ่วงหนักในลำไส้ไปเสียได้ จึงได้นอนตาหลับเสียที
บางคนอาจจะคิดว่าสุขภาพที่ดีต้องเริ่มต้นที่การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือออกกำลังการสม่ำเสมอหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับดิฉันแล้วคิดว่าสุขภาพดีเริ่มต้นที่การขจัดเอาขยะในร่างกายเราทิ้งไปเสียก่อน
ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทำข้อมูลเมื่อหลายๆ ปีมาแล้วว่าผู้ชายอเมริกันขนาดมาตรฐานคนหนึ่งๆ นั้นจะมีขยะ ที่ร่างกายไม่ต้องการตกค้างอยู่ในลำไส้ถึงคนละ 5 กิโลกรัม (จนถึงปัจจุบันนี้อาจจะมากกว่า 5 กิโลกรัมก็ได้เพราะลองพิจารณาดูหุ่นของคนอเมริกันดูก็แล้วกัน) ฟังแล้วอาจจะนึกว่าคนเรานี่สามารถเก็บของเสียของเน่าไว้ในร่างกายมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ
อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นไปได้ คนเรากินอาหารเฉลี่ยกันวันละ 3 มื้อ แล้วบางคนยังกินจุกกินจิบระหว่างมื้ออีก ถ้าลองเอาอาหารที่กินใน 1 วันวางกองเข้าไวในถาดคงจะได้กองโตอยู่ อาหารพวกนี้ถ้าเราค่อยๆ บรรจงเคี้ยวให้ละเอียดเนียนดีก่อนกลืนมัน ก็คงจะซึมไปหล่อเลี้ยงร่งกายได้มากและได้ดี ถ้าเคี้ยวให้ละเอียดเนียนดีก่อนกลืนมันก็คงจะซึมซับไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้มากได้ดี ถ้าเคี้ยวแบบกลัวใครจะมาแย่งกินก็คงจะหยาบ ร่างกายย่อยยากย่อยไม่ได้ก็ส่งไปจนถึงลำไส้ใหญ่ที่จะบีบคั้นออกมาเป็นของเสียให้เราขับออกทางทวาร
มีใครลองเทียบกันไหมว่าเจ้าของเสียที่ออกมากับเจ้าอาหารกองโตที่เรากินเข้าไปนั้นมันจะพอๆ กันหรือเปล่าหรือมากน้อยกว่ากันเท่าไร
มีข้อมูลที่ได้จากการวิจัยอันน่าสนใจว่าสำหรับคนที่ชอบกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันและเนื้อสัตว์สูงนั้น จะถ่ายอุจจาระประมาณวันละ 3-4 ออนซ์เท่านั้น และใช้เวลาให้อาหารเดินทางนับใส่เข้าปากจนออกมาทางทวารนั้นถึง 2-3 วันทีเดียว ยิ่งในรายผู้สูงอายุหน่อยที่ระบบอะไรต่อมิอะไรมันชักจะด้อยประสิทธิภาพลง ก็อาจใช้เวลามากกว่า 1 อาทิตย์ (ฟังแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลังจะสูงอายุเช่นดิฉัน) ส่วนคนที่ชอบกินผักผลไม้มากๆ คือชอบอาหารประเภทเส้นใย จะถ่ายอุจจารวันละประมาณ 13-17 ออนซ์ และใช้เวลาให้อาหารเดินทางกว่าออกมาเป็นเวลาประมาณ 20-30 ชั่วโมง
นั่นแปลว่าไอ้อะไรที่ใส่เข้าไปทางปากทั้งหมดนั้นไม่ได้ออกมาหมดหรอกนะ ต้องมีที่ตกค้างบูดเน่าอยู่ในท้องในไส้เราเป็นแน่ มีนักเรียนที่มาเรียนทำอาหารสุขภาพกับดิฉันท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นโรคท้องผูกแบบคลาสสิกมาก ผูกเป็นปกติไม่ไล่ไม่ออก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอปวดท้องมากจนทนไม่ไหว จึงเอาน้ำสบู่ฉีดสวนเข้าไปอย่างแรงและก็พลันมีก้อนแข็งๆ เท่าลูกบอลลูกเล็กลูกหนึ่งหล่นพรวดออกมา ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร มันอัดกันกลม แข็ง แน่น เหนียว อย่างน่าสยดสยองที่เดียว
อาการเกี่ยวกับการมีของบูดเน่าค้างเป็นขยะอยู่ในร่างกายเรานี้แสดงออกมาได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า ท้องอืดแน่นเรอเหม็นเปรี้ยว ลมในท้อง ท้องผูก ท้องเสียหรืออาการถ่ายไม่ปกติ บางทีอาจปวดหัวหรือนอนไม่หลับ อาจผิวพรรณไม่ผุดผ่องหรือมีผื่นคัน เป็นต้น ของสำคัญก็คือ ขืนเรายังทำตัวเป็นนักอนุรักษ์ของเก่าไว้ในร่างกายเรานานๆ เข้าร่างกายเราก็ดูดซับเอาของเสียนี้กลับมาเลี้ยงร่างกายต่อไป เป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ ได้
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรทำลำไส้ของเราให้สะอาด อย่าให้มีของเน่าตกค้างอยู่มากมาย พยายามกำจัดมันเสีย ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าลำไส้ของเรานั้นมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง
อันลำไส้ใหญ่นี้อยู่ในช่องท้องด้านล่าง ถัดจากทวารขึ้นไปยาวประมาณ 5 ฟุตกว่า มีหน้าที่รับเอาเจ้ากากอาหารที่เหลือสุท้ายร่างกายย่อยไม่ได้แล้ว มาจัดการบีบ รีดเอาน้ำและสารอาหารพวกวิตามิน เกลือแร่ออกมาให้หมดเป็นครั้งสุดท้ายรีดของดีๆ ออกมาได้เท่าไรก็ส่งกลับผ่านตับไปเลี้ยงร่างกายต่อไป ส่วนกากที่เหลือก็จะขยับรัดตัวไล่ให้กากนี้เลื่อนเคลื่อนตัวออกไปให้พ้นจากร่างกายผ่านทางทวาร ถ้าหากมีอะไรที่ไม่ดี เป็นอันตรายต่อผนังลำไส้ที่มีหน้าที่ดูดซับผ่านมา ลำไส้ก็จะป้องกันตัวเองด้วยการผลิตเมือกปิดกั้นผนังไว้ไม่ระคายเคืองได้ ถ้าขืนเรายังใส่ของไม่ดีให้ร่างกายต่อไป ร่างกายก็จะสร้างเมือกนี้ไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ จนอาจเหลือทางให้กากอาหารเดินผ่านแคบลงๆ และยังอาจทำให้ระคายเคือง ผนังลำไส้ก็จะปูดออกตรงโน้นตรงนี้ เกิดเป็นอาการลำไส้อักเสบได้ และเมื่ออักเสบมากขึ้นก็ย่อมเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้
คราวนี้ในลำไส้ของเราก็จะต้องมีแบคทีเรียอยู่ 2 ชนิดคือตัวดี และตัวเลว ลำไส้ที่แข็งแรงมีประสิทธิภาพจะต้องมีแบคทีเรียชนิดดีมากๆ และมีชนิดเลวน้อยๆ บางทีเราอาจจะนึกไม่ถึงว่าเราเองนั้น เป็นผู้สะสมเลี้ยงดูเจ้าแบคทีเรียชนิดเลวไว้อย่างมากมาย ในลำไส้ของเราเองนี้ แบคทีเรียชนิดเลวอาจเกิดจากการบูดเน่าสะสมของเสียในลำไส้หรือการกินของที่ทำให้เกิดการบูดเน่า เช่นมีการวิจัยว่าการกินเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดจากการบูดเน่าในลำไส้ได้ ส่วนแบคทีเรียชนิดดีนั้นก็อาจมาจากการกินอาหารที่ดี การไม่สะสมของบูดเน่าไว้ในลำไส้ ของหมักดองบางชนิดที่เกิดจากการหมักดองด้วยวิธีธรรมชาติจะทำให้เกิดแบคทีเรียที่ดีได้ เช่น โยเกิร์ตหรือเต้าเจียวที่เกิดจากการหมักจากธรรมชาติ เป็นต้น และการกินยาประเภทยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) จะเป็นการทำลายแบคทีเรียชนิดดีให้ล้มตายระเนระนาดเลยทีเดียว ข้อนี้ต้องระวังกันให้มากเพราะเห็นคนไทยเรานี้อึกอักก็กินยาปฏิชีวนะกันเป็นว่าเล่นแม้แต่เด็กเล็กๆ
แบคทีเรียชนิดที่ดีจะทำหน้าที่ควบคุมชนิดเลวไว้ว่าอย่ากำเริบโอหัง จงอยู่อย่างสงบ มึนจึงทำหน้าที่ควบคุมท้องร่วง ท้องผูก ช่วยลดคลอเรสเตอรอล และช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย
คราวนี้มาถึงวิธีที่เราควรจะดูแลลำไส้ใหญ่ของเราให้มีสุขภาพดี ที่ทำได้ด้วยการใส่ใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน อย่าทำตัวเป็นเด็กวัดหรือเด็กนักเรียนประจำที่กลัวว่าจะอดกิน ให้หัดให้เป็นนิสัยที่จะค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กลืน แล้วก็อย่าพูดมากเวลากินอาหาร
- เลือกอาหารที่กิน รู้ว่าอะไรไม่ดีจะไปบูดไปเน่าหรือย่อยยาก ไขมันเยอะ ของทอด ของเสียก็หลีกเลี่ยงเสีย นึกเสียว่านี่เราจะดันทุรังกลืนเอาของเน่าเข้าไปทำไม หัดกินของที่มีเส้นใยมากขึ้น
- ดูแลเรื่องขับถ่ายในชีวิตประจำวันให้สม่ำเสมอ หมั่นสังเกตว่าการขับถ่ายของเราเป็นอย่างไร ที่ออกมานั้นสุขภาพดีไหม นุ่มนวล สีสวย ไม่แข็งโป๊กหรือลีบเล็ก กะปริดกะปรอย หรือเป็นเม็ดขนุน เรื่องขับถ่ายนี่เป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้ที่เดียว หัดสังเกตว่าเรากินอะไรท้องจะผูก วันไหนของเสียยังไม่ออกมาก็อย่ารื่นเริงไปกินเลี้ยงเอาขยะใส่เพิ่มพูนเข้าไปอีก
- เพื่อให้ระบบของลำไส้ดีขึ้น ก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหว ทำงานมีประสิทธิภาพเราจะเห็นว่าคนสมัยใหม่นี้ท้องผูกกันมากขึ้น เพราะกินแต่แป้งขัดขาวกับน้ำตาล และไขมัน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านเบเกอรี่เปิดกันทุกหัวมุมถนน แถมยังไม่ทำสวนทำไร่ กวาดบ้านถูเรือน ได้แต่นั่งกินนอนกิน ก็เห็นจะจบลงด้วยโรคภัยนี่เอง
|
|
|