Neric-Club.Com
  สารบัญเว็บไซต์
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
14028343  

กระดานแสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ    

ครูพันธุ์แท้

ตั้งกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ใครหว่า...คิดไม่เป็น ? : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ใครหว่า...คิดไม่เป็น ?

โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

http://www.bangkokbiznews.com/


ว่ากันว่า ความคิดฝึกฝนกันได้ และจำเป็นต้องฝึกตั้งแต่เด็ก หากอยากให้เด็กคิดเป็นเหตุ เป็นผล ยังมีอีกแนวทางในการพัฒนาทักษะการคิดด้วยปรัชญาเด็ก

ไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็ตาม ถ้าถามถึงคุณภาพงาน นั่นก็หมายถึงคุณภาพคน ก็ต้องวกกลับมาที่ระบบการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาหลักของชาติ และมีประเด็นชวนให้คิดมากมาย เมื่อมีทั้งงานวิจัยออกมายืนยันว่า เด็กไทยไอคิวและอีคิวต่ำกว่ามาตรฐาน

ที่ว่า ต่ำกว่ามาตรฐาน นั่นหมายถึง มาตรฐานของผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบอนาคตของชาติ อยู่ในมาตรฐานเดียวกับเด็กไทย...ใช่หรือไม่

ถ้าจะถามหาสาเหตุของปัจจัยหลักและปัจจัยรอง ก็คงต้องอธิบายยืดยาว แต่ถ้ามุ่งประเด็นไปที่ "การคิด" ก็คงจะมีคนช่วยต่อจิกซอเรื่องนี้ได้

มีงานวิจัยออกมายืนยันอีกว่า ปัญหาการเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบัน ยังขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รวมถึงขาดทักษะชีวิต ส่งผลต่อการคิดตัดสินใจไม่เหมาะสม ซึ่งนั่นแหละคือปัญหาในเรื่องคุณภาพคน ตามมาด้วยปัญหาอีกมากมายในสังคม ทั้งการคอรัปชั่น การเห็นแก่ประโยชน์ของพรรคพวกมากกว่าประเทศชาติ การแบ่งสี แบ่งพวก แบ่งสถาบัน ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ ถ้าจะบอกว่า เพราะคิดไม่เป็น หรือ ตั้งใจคิดเช่นนั้น นั่นก็โยงไปถึงเรื่องจริยธรรม หรือความเข้าใจสัจจะของชีวิต

แล้วเราจะปล่อยให้เด็กที่กำลังเป็นอนาคตของชาติ คิดไม่เป็น เหมือนผู้ใหญ่(บางคน)ในวันนี้หรือ ?

สอนให้รู้คิด รู้เหตุผล

ว่ากันถึงเรื่องปรัชญา ดูเหมือนจะซับซ้อน แต่อาจทำให้เป็นเรื่องง่ายได้ ถ้าเข้าใจว่า ปรัชญาเป็นสิ่งที่พึ่งเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเรื่องความดี ความงาม ความจริง และในตะวันตกก็ให้ความสนใจอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีแนวทางของปรัชญาเด็ก ที่ครูบาอาจารย์หลายคนอยากจะเผยแพร่ให้เด็กได้เรียนรู้ในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งหลายประเทศนำไปใช้ โดยเฉพาะประเทศที่อินเทรนอย่างเกาหลี กว่าจะพัฒนาได้ขนาดนั้น ก็คงต้องมีรากฐานการคิดวิเคราะห์ เพื่อนำพาประเทศมาถึงจุดนี้

แนวทางการพัฒนาความคิดเป็นสิ่งที่รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีตื่นตัวมาก เมื่อปี คศ.2000 พวกเขาเห็นว่า การแข่งขันเรื่องการคิด ไม่ว่าจะเรื่องเทคโนโลยีหรือเรื่องใดก็ตาม จำต้องล้ำหน้าในตลาดโลก ไม่อย่างนั้นสู้คู่แข่งไม่ได้ ขณะที่ไทยเราพูดถึงการเปิดอาเซียน แต่มุ่งประเด็นไปที่การค้า การลงทุน และความรอบรู้เรื่องภาษา ส่วนทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นรากฐานและเครื่องมือในการสร้างสรรค์ในทุกเรื่อง มีการกล่าวถึงน้อยมาก

จึงเป็นที่มาของการเสนอแนวคิดของ แมทธิว ลิปแมน (Matthew Lipman) อาจารย์สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย อเมริกา เจ้าของแนวคิดปรัชญาเด็ก ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกในเครือข่ายทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ เพื่อผลิตบุคลากรในด้านการสอนปรัชญาสำหรับเด็กในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก รวมถึงการอบรมในระยะสั้น

ในปีคศ. 1974 เขาได้ก่อตั้ง Institute for the Advancement of Philosophy for Children (IAPC) โดยก่อนหน้านี้เขาตั้งสมมติฐานว่า "การใช้เหตุผลเป็นสิ่งที่สอนกันได้จริงหรือ" เนื่องจากนักศึกษาที่เขาสอนอยู่ มีระดับการใช้เหตุผลอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาคิดว่า ควรแก้ไขกันตั้งแต่ในระดับโรงเรียน นั่นเป็นเหตุผลที่เขานำแนวทางปรัชญาเด็กมาใช้พัฒนาทักษะการคิด ด้วยการเริ่มสอนตั้งแต่ระดับประถม

เขาสร้างเนื้อหาการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะคิดด้วยตนเอง ผ่านเรื่องเล่า นิทาน หรือนิยาย โดยมีครูคอยกระตุ้นความคิด แต่ไม่ชี้นำ เพราะลิปแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญาการศึกษาสำหรับเด็ก เชื่อว่า เด็กๆ คิดเป็น และปัจจุบันแนวทางนี้ เกาหลีก็กำลังทดลองใช้ และเป็นที่สนใจของนักการศึกษากลุ่มหนึ่งในเมืองไทย

“แม้ทักษะการสอนให้คิดเป็นจะมีในหลักสูตร แต่ไม่ได้ลงไปถึงราก เรื่องนี้ต้องฝึกครูก่อน ครูต้องมีทักษะการคิดและวิธีการสอน" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุสา สุทธิสาคร อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าว ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสไปดูงานการสอนเด็กเกาหลีในเรื่องปรัชญาเด็ก และกำลังจะนำมาใช้กับการสอนครู

จากการศึกษาและดูงานตามแนวทางการเรียนรุู้ของลิปแมน เธอเห็นว่า แนวทางปรัชญาเด็ก น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย เธอยกตัวอย่างว่า การสอนจริยธรรม ไม่จำเป็นต้องสอนตรงๆ เหมือนที่ครูในเมืองไทยสอนว่า สิ่งนั้นถูก หรือ ผิด ถ้ามีกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กๆ วิเคราะห์และร่วมกันคิดด้วยกัน พวกเขาก็จะรู้ด้วยตัวเอง

"ในรายละเอียดระหว่างการถกเรื่องความคิด ครูจะกระตุ้นให้เห็นข้อดีและข้อเสียที่เด็กกำลังคุยกัน แม้กระทั่งนิทานเรื่องหนึ่ง ก็สามารถทำให้เด็กวิเคราะห์ไปถึงขั้นที่ทำให้เขาเข้าใจชีวิต"

กระตุ้น...ต่อมคิด

นอกจากครูมีหน้าที่กระตุ้นให้เด็กคิด ตั้งโจทย์จากการเล่านิทาน เพื่อให้เด็กๆ ถกเถียงกันถึงข้อดีและข้อเสีย ครูยังมีหน้าที่ตบประเด็นให้อยู่ในข่ายใยความคิดนั้นๆ แต่ไม่จำเป็นต้องชี้นำ เรื่องนี้อาจารย์อุสา บอกว่า ถ้าจะทำให้เด็กคิดเป็น ต้องลึกลงไปมากกว่าคำว่า How to เราสามารถฝึกเด็กให้เป็นนักปรัชญาได้

"ถ้าฝึกให้เด็กหัดตั้งคำถาม อีกหน่อยเขาก็จะตั้งคำถามกับชีวิต และนำไปสู่การสร้างคุณค่าในชีวิต ทางเกาหลีก็เพิ่งนำปรัชญาการศึกษาแนวนี้มาใช้ ในช่วงหลังพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ครูประถมกับมัธยมจะแลกเปลี่ยนกัน เด็กประถมเกาหลีจะถูกฝึกในเรื่องการเอาตัวรอดเมื่อเกิดภัยพิบัติด้วย มีการสอนให้เด็กๆ รู้จักการป้องกันภัยที่จะมาถึงตนเอง ส่วนในเรื่องการคิด พวกเขาทำในลักษณะชุมชนแห่งการสืบสอบ ใช้กลุ่มเพื่อนในการแลกเปลี่ยน ”

ถ้าจะให้เล่าการเรียนรู้ผ่านนิทาน เธอยกตัวอย่าง เรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกับต้นแอปเปิ้ล เมื่อแอปเปิ้ลออกลูก เขาก็ขอไปกิน พอต้นไม้เติบโตเต็มที่ ก็ขอผลแอปเปิ้ลไปขาย เมื่อเขาแต่งงานก็ขอไม้ไปปลูกบ้าน ขอไปเรื่อยๆ จนต้นไม้เหลือแต่ตอ เพราะชีวิตของชายคนนั้น ตั้งแต่เด็กจนชราภาพได้แต่ขออย่างเดียว และต้นไม้ก็ให้สิ่งที่เขาต้องการตลอด

"เด็กประถมสองคนหนึ่งบอกว่า "การให้ต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าเราให้โดยไม่ระมัดระวัง เราก็จะฝึกให้เขาเป็นคนไม่รู้จักพอ และเขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยกับชีวิต" ที่น่าประทับใจคือ เด็กสามารถวิเคราะห์ได้ว่า การให้ของต้นไม้เป็นสิ่งที่พึ่งระวังอย่างมาก " อาจารย์อุสา เล่าถึงบทเรียนที่ประทับใจ

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของแนวทางการพัฒนาทักษะการคิดตามแนวทางปรัชญาเด็ก ที่อาจารย์อุสาไปเรียนรู้และเห็นว่า น่าสนใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ อ.ดร.ปัทมศิริ ธีรานุรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญาสำหรับเด็ก ภาควิชาหลักสูตร การสอนและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาโรงเรียนอนุบาลธีรานุรักษ์ ได้ศึกษาวิจัยในเรื่อง "ผลของการใช้กระบวนการเรียนการสอนตามแนวการสอนแบบชุมชนแห่งการสืบสอบเชิงปรัชญาที่มีต่อทักษะการคิดของเด็กประถมปีที่ 1" งานวิจัยชิ้นนี้แม้จะทำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่เธอก็ยังนำแนวทางนี้มาใช้ในการสอนนักศึกษาและเด็กนักเรียนในบางครั้งบางคราวในช่วงที่โอกาสเหมาะสม

เนื่องจากแนวทางของปรัชญาเด็ก เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการคิด ในห้องเรียนที่เธอไปสอน ไม่ใช่ว่าเด็กที่เงียบที่สุดคิดไม่เป็น เขาก็มีความสามารถในการคิด

"ถ้าครูเปิดโอกาสให้คิด ก็จะทำให้เด็กๆ มีความสามารถในการคิดที่สูงขึ้น และมั่นใจมากขึ้น" 

เพียงแต่แนวทางที่นำมาใช้ เธอปรับเปลี่ยนประยุกต์ให้เหมาะกับสภาพสังคมไทย เพราะแนวทางของ ลิปแมน จะมีประเด็นการคิดจากนิทานและนิยาย แต่เธอใช้เนื้อหาจากบทเรียนที่เด็กๆ เรียนเปิดประเด็นพูดคุยขยายความคิด ส่วนนักศึกษาที่เธอสอนในระดับอุดมศึกษา เธอนำประเด็นมาจากหนังสือพิมพ์หรือรายการทีวี เพื่อการพัฒนาทักษะการคิด

“นำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับมิติของปรัชญาที่เป็นความรู้ ความจริง ความดี ความงาม ให้เด็กได้ใช้เหตุผลในชุมชนการสืบสอบเชิงปรัชญา เป็นเวทีที่ครูต้องเป็นผู้รับฟัง ปกติในวัฒนธรรมไทยวิธีการสอนของครู ต้องเป็นใหญ่ แต่วิธีการนี้ครูเป็นผู้กระตุ้นความคิด

ดังนั้นครูต้องไม่เอาความเป็นผู้รู้มาตัดสินว่า นี่ถูกหรือผิด นั่นเป็นการปิดกั้นไม่ให้เด็กกล้าคิด เพราะวิธีการที่เด็กเรียนรู้คือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จากการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เมื่อได้เรียนรู้ก็จะต่อยอดความคิด สุดท้ายก็จะเข้าใจแนวคิดด้วยตัวของเขาเอง และเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจจากการสอนของครู”

ในชั้นเรียนการคิด

ถ้าให้กระเทาะเปลือกกระบวนการเรียนรู้ องค์ประกอบคงมีตั้งแต่ตัวครู เนื้อหา วิธีการสอน และการปฎิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน เพื่อให้เห็นว่า เด็กๆ สามารถ"คิดเป็น" จริงหรือไม่ ในชั้นเรียนที่ อ.ดร.ปัทมศิริ ออกแบบให้นักเรียนประถมหนึ่งในโรงเรียนพิชญศึกษา จ.นนทบุรี เรียนรู้ปรัชญาเด็ก โดยปล่อยให้เด็กๆ พูดคุยกันเองในเรื่อง ความฝัน ...

นักเรียน 20 -ความฝันคือ สิ่งที่เราคิดขึ้นมาเองได้
นักเรียน 15-ไม่เห็นด้วยกับเพื่อน เวลาเราคิดขึ้นมาเอง เราก็ไม่ฝันแบบที่เราคิด แต่มันจะฝันขึ้นมาเอง
นักเรียน 30- ทำไมเราฝันร้าย แล้วตื่นขึ้นมานอนลงไปอีก ก็ฝันร้ายเหมือนเดิมอีก
นักเรียน 19-ความฝันอยู่บนที่หัวเราอยู่
นักเรียน 30- แล้วทำไมมันอยู่บนหัวเราได้
นักเรียน 24-รู้แล้วทำไมถึงฝันร้าย เพราะว่าเราคิดร้าย 
นักเรียน 20- ความฝันร้าย เราคิดขึ้นมา เพราะเราลืมกราบพระตอนกลางคืน 
นักเรียนทั้งห้อง-ไม่เกี่ยว
นักเรียน 20 -มันทำให้ฝันร้ายได้ 
นักเรียน 12 -หนูไม่ได้กราบพระ หนูยังไม่ฝันร้ายเลย ฯลฯ
...........................

นี่เป็นส่วนหนึ่งของการถกกันเรื่องความฝัน

อาจารย์ปัทมศิริ บอกว่า ครูต้องรู้จักจับประเด็น เด็กบางคนบอกว่า ฝันดี เพราะคิดดี และสวดมนตร์ก่อนนอน ฝันไม่ดีเพราะคิดไม่ดี และเด็กๆ ถามกันเองว่า ความฝันต่างกับความจริงอย่างไร บางคนบอกว่า ความฝันไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ ความจริงต่างหากที่เราต้องการ

“อันนี้เป็นทักษะการคิดเชิงเปรียบเทียบ จำแนก การมองในมุมต่างๆ แต่ครูต้องเชื่อว่า ผู้เรียนสร้างความรู้ได้จากการแลกเปลี่ยนกัน ครูต้องเชื่อมั่นในศักยภาพ ถ้าทำอย่างนั้นได้ เด็กจะเข้าใจความจริง” นี่คือ คำอธิบายเพื่อให้เห็นว่า ถ้าสอนเป็น เด็กก็คิดเป็น

วิธีการแบบนี้ อาจารย์ปัทมศิริ เห็นว่า เป็นการฝึกฝนให้เด็กเติบโตในสังคมประชาธิปไตยที่ถูกทาง ทำให้พวกเขารู้จักการรับฟังซึ่งกันและกัน

“แนวทางนี้ต้องอยู่ในเนื้อหา วิธีคิด และการอยู่ร่วมกัน โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กพูดไปเรื่อยๆ ครูต้องเก่ง เพราะต้องใช้เวลาพอสมควร และในชั้นเรียนเรื่องการคิด ครูต้องไม่คิดแทน และนักเรียนต้องกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้ทุกคนได้พูด ถ้าเด็กคนไหนพูดมากไป ครูก็ต้องมีเทคนิค หรือเด็กคนไหนไม่พูด ครูก็ต้องกระตุ้นให้เขาเปิดเผยตัวเอง โดยครูทำหน้าที่สังเกต “

หากถามว่า ทำไมต้องสอนการคิดอย่างมีเหตุและผลตั้งแต่เด็ก อ.ดร.ปัทมศิริ มีคำอธิบาย 

"ถ้ากระตุ้นความคิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เด็ก การเชื่อมโยงเซลล์ประสาทในการพัฒนาความคิดจะดีขึ้น ทำให้เด็กคิดเป็น มองละเอียดทุกมุม และมีคุณธรรม รับฟังคนอื่น เราก็เห็นแล้วว่า ทุกวันนี้คนไทยจะต่างคนต่างพูด คิดว่าทุกคนมีสิทธิ์พูดและไม่ฟังใคร มีสิทธิทำโดยไม่ต้องนึกถึงใคร แต่วิธีการนี้จะสอนให้รู้จักเคารพสิทธิและความคิดของผู้อื่น และเปลี่ยนวิธีคิดได้บนพื้นฐานของความเป็นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีจุดยืน เพียงแค่เปิดใจที่จะฟังสิ่งใหม่ๆ ซึ่งต่างจากคนที่น้ำล้นแก้วในสังคม ไม่ฟังใครอีกต่อไป”

ด้วยกระบวนการกลุ่ม ทำให้เขารู้จักรับฟัง เด็กจะถูกฝึกให้ฟังเพื่อนๆ ที่คิดต่าง แม้บางเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด แต่เขายอมรับเหตุผล ซึ่งเรื่องนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ถ้าไม่ได้ฝึกคิด ก็จะคิดในแบบของตัวเอง แต่ในกระบวนการแบบนี้จะมีคำถามกระตุ้นให้คิดและอธิบายวิธีคิดของตัวเองได้

"เพราะเด็กทุกคนมีความสามารถในการคิดตั้งแต่อยู่ในท้อง แต่ด้วยวัฒนธรรมและการเลี้ยงดูในสังคมไทย มันปิดกั้นความคิด ประกอบกับบุคลิกของครูที่ดุ ทำให้เด็กไม่กล้าแสดงความคิด ถ้าใช้วิธีนี้ก็จะทำให้เด็กกล้าคิด ถ้าจะรอให้คิดตอนเรียนในระดับอุดมศึกษา คงยากแล้ว”


Krootanoi

ตอบกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 1


ขณะนี้ศธ.กำลังปรับปรุงหลักสูตร เนื่องจากแต่ละหลักสูตรต้องมีการปรับปรุงตลอด เพื่อความทันสมัย เช่น หลักสูตรอุดมศึกษาต้องปรับทุก 5 ปี หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วโลกจะปรับทุก10 ปี แต่หลักสูตรพื้นฐานของไทยที่ใช้อยู่ 12 ปีแล้ว แต่มีการปรับเพียงเล็กน้อย หรือเป็นหลักสูตรสั้น ย่อเกินไป จนอาจเรียกว่าหลักสูตรพิกลพิการก็ได้ อีกทั้งยังเป็นหลักสูตรแบบปลายเปิดที่เหมาะสมกับครูที่มีความสามารถ ขณะที่ครูไทยไม่ได้มีความสามารถเท่าเทียมกัน หลักสูตรเป็นการเรียนแบบหน้ากระดาน ทั้งที่มนุษย์จะมีพัฒนาการทางสมองไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับเวลา ถ้าจะจัดการศึกษาก็ต้องคำนึงถึงการพัฒนาทางสมอง สิ่งที่ทำให้เกิดความรู้ที่แท้จริงและมีความยั่งยืน โดยที่ผู้เรียนสามารถใช้ได้หลากหลายวิธี เพื่อให้เกิดความรู้ไม่ใช่การสอนจากครู และให้ได้เรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น- ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์



เจ_เจ

ตอบกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 2
 
ชอบบทความนี้จังเลยค่ะ อยากให้คุณครูและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาได้อ่านและนำไปปฎิบัติกันจริงจังเพราะคิดน้อยใจแทนประเทศชาติเสมอ คนของเราไม่มีคุณภาพหรือเปล่า อะไรๆมันถึงวุ่นวายขนาดนี้


K.Pim

ตอบกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 3
แม้ทักษะการสอนให้คิดเป็นจะมีในหลักสูตร แต่ไม่ได้ลงไปถึงราก เรื่องนี้ต้องฝึกครูก่อน ครูต้องมีทักษะการคิดและวิธีการสอน แล้วปรัชญาเด็กแห่งเกาหลีก็ลงมาสู่ห้องเรียนทดลองผลการวิจัย คิดถึงดร.รุ่ง แก้วแดง สมัยที่ท่านเป็นมือหนึ่งของศธ.ท่านพยายามบูมการศึกษาปฐมวัย แต่ดูเหมือนตีไม่ฟู ผ่านไปยี่สิบปีแล้วเราก็กลับมาคุยในเรื่องเดิมเวอร์ชั่นเกาหลี


nanfahthai

ตอบกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 4

การศึกษากระบวนยุทธต่างๆ ก็ต้องเรียนรู้จากแบบอย่างที่ดีแล้วนำมาปรับใช้ตามบริบท แนวทางปรัชญาเด็ก น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย เห็นด้วยว่าการสอนจริยธรรม ไม่จำเป็นต้องสอนตรงๆ ยิ่งถ้ามีกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กๆ วิเคราะห์และร่วมกันคิดด้วยกัน พวกเขาก็จะรู้ด้วยตัวเอง  ครูน่าจะกระตุ้นให้เห็นข้อดีและข้อเสียในเรื่องที่เด็กกำลังคุยกัน แม้กระทั่งนิทานก็สามารถทำให้เด็กวิเคราะห์ไปถึงขั้นที่ทำให้เขาเข้าใจชีวิตได้  เราก็คงต้องช่วยกันกระตุ้นต่อมคิดกันกระจายเลยค่ะกว่าจะสร้างให้ต่อมคิดเกิดการพัฒนา

 



คลื่นใต้น้ำ

ตอบกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 5

เห็นด้วยมากมายว่าควรแก้ไขกันตั้งแต่ในระดับพื้นฐาน โรงเรียนต้องนำแนวทางปรัชญาเด็กมาใช้พัฒนาทักษะการคิด ด้วยการเริ่มสอนตั้งแต่ระดับประถม ฟันเฟืองการศึกษาต้องช่วยกันสร้างเนื้อหาการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะคิดด้วยตนเอง ผ่านเรื่องเล่า นิทาน หรือนิยาย โดยมีครูคอยกระตุ้นความคิด แต่ไม่ชี้นำ หลักการนี้ต้องแทรกไปในกึ๋นของระบบการศึกษาไทยไม่ใช่เฉพาะนักการศึกษากลุ่มเดียวในเมืองไทยและต้องสานต่อร้อยรัดกันไปในทุกระดับด้วย



K.ET

ตอบกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 6
ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความสามารถในการคิดตั้งแต่อยู่ในท้อง แต่วัฒนธรรมและการเลี้ยงดูในสังคมไทยปิดกั้นความคิดการตัดสินใจ ยิ่งถึงเวลาต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นนอกบ้าน บุคลิกของครูที่ดุ ทำให้เด็กไม่กล้าแสดงความคิด วิธีที่นำเสนอนี้ก็จะทำให้เด็กกล้าคิด รู้จักเคารพสิทธิและความคิดของผู้อื่นด้วย


Tanaew

ตอบกระทู้เมื่อ
12 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 7
เราคุยกันมานานแล้วว่าต้องสอนเรื่องการคิดอย่างมีเหตุและผลตั้งแต่เด็กเพื่อให้เกิดทักษะการคิดเชิงเปรียบเทียบ การจำแนก และการมองในมุมต่างๆ ฝึกฝนให้เด็กเติบโตในสังคมประชาธิปไตยที่ถูกที่ถูกทาง ในสมัยก่อนเราก็ทำกันมาอย่างที่มีสุภาษิตติดหู "ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก" แต่ในเชิงปฎิบัติทำไม่ได้สักที ด้วยสาเหตุที่รู้ๆกันอยู่
การฝึกฝนให้เด็กคิดและมีเหตุผลทำให้รู้จักการรับฟังซึ่งกันและกัน เด็กปัจจุบันนี้ที่บอกว่าเลี้ยงอย่างสมัยใหม่มักไม่ฟังความเห็นคนอื่นหรือคนนอกทีม ยิ่งกระแสโซเชียลเนตเวิร์คเข้ามาด้วยตามๆกันไปหมด คิดเองทำเองได้แต่ไม่ถูกกาลเทศะ น้ำล้นแก้วก็เยอะเลย ต่างคนต่างพูด คิดว่าทุกคนมีสิทธิ์พูด มีสิทธิทำโดยไม่ต้องนึกถึงใคร ใครจะบรรลัยอย่างไรไม่สนขอให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการเป็นพอทำให้สังคมเน่าสนิท
แต่การจะนำวิธีนี้มาใช้ให้ได้ผลดีครูต้องเก่ง อดทนสูง เพราะต้องใช้เวลาพอสมควร ในชั้นเรียนขนาดเล็กๆ เพื่อให้ทุกคนได้พูด ถ้าเด็กคนไหนพูดมากไป ครูก็ต้องมีเทคนิค หรือเด็กคนไหนไม่พูด ครูก็ต้องกระตุ้นให้เขาเปิดเผยตัวเองสำคัญที่สุดครูใจร้อนไม่ได้  ครูต้องไม่คิดแทนทุ่มเทเวลาให้เต็มที่


KTC

ตอบกระทู้เมื่อ
13 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 8

มีอีกหนึ่งปัญหาที่ครูต้องแบกรับโดยหน้าที่และจิตวิญญานครับ

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในการแถลงข่าว “เด็กไทย IQ เกิน 100” และเปิดโครงการพัฒนาระบบการจัดการเชิงพื้นที่ในการเชื่อมต่อข้อมูลและการให้บริการเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและเชาวน์ปัญญาเด็กไทย ว่า อัตราการเกิดของเด็กไทยเฉลี่ยปีละ 800,000 คน จำนวนนี้มีเด็กพัฒนาการล่าช้า 30% หรือประมาณ 240,000 คน ซึ่งสะท้อนได้จากจำนวนเด็กที่มีระดับสติปัญญา (IQ) ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานคือ 100 สูงถึง 49% และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ช่วงอายุของเด็กระหว่าง 0-5 ปี เป็นช่วงรอยต่อที่มีผลต่อการพัฒนาการของเด็ก หากพ่อแม่รู้เร็วว่าลูกมีพัฒนาการล่าช้าและเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส โดยการดูแลเด็กอย่างต่อเนื่องในช่วงอายุดังกล่าว จะสามารถแก้ปัญหาพัฒนาการล่าช้าและช่วยเหลือเด็กได้ถึง 160,000 คนต่อปี
      
พญ.อัมพร กล่าวอีกว่า จากแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย สธ.โดยกรมสุขภาพจิตจึงดำเนินการ 2 ส่วน คือ 1.สนับสนุนเขตบริการระดับพื้นที่ให้มีเครื่องมือในการเฝ้าระวังและติดตามเด็กที่มีแนวโน้มความเสี่ยงด้าน IQ/EQ และให้การดูแลตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงพัฒนาการของเด็กในทุกช่วงวัย โดยมีเป้าหมายให้เด็กไทยมี IQ เกิน 100 ในปี 2559 และ 2.ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายให้เกิดการทำงานร่วมในพื้นที่ โดยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และสถาบันราชานุกูล ในการพัฒนาระบบการจัดการเชิงพื้นที่ในการเชื่อมต่อข้อมูลและการให้บริการ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและเชาวน์ปัญญาเด็กไทย พร้อมกับพัฒนากลไกการปฏิบัติงานในพื้นที่เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
 



na_na

ตอบกระทู้เมื่อ
13 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 9
จากข้อมูล KTC นำเสนอข้างบน
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษา สสค.กล่าวว่า เด็กปฐมวัย หรือช่วงอายุ 0-5 ปี เป็นช่วงสำคัญที่สมองจะพัฒนาได้มากที่สุด แต่กลับพบว่าได้รับการดูแลน้อยมาก ปัญหาสำคัญคือไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก หรือสมุดสีชมพูจากโรงพยาบาลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียน ทำให้ผู้ดูแลเด็กหรือครูไม่ทราบว่าเด็กมีความผิดปกติหรือบกพร่องด้านการเรียนรู้ ทำให้ไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ หากได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงอายุดังกล่าว จะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ถึง 90% ก่อนที่จะจบ ป.4 ดังนั้น การที่การศึกษาของเด็กไทยล้มเหลว เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่การเรียนการสอนเสมอไป แต่ฟ้องว่าไม่มีการดูแลเด็กที่ดีในช่วงอายุ 0-5 ปี และจะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปจนโต อย่างเด็กที่เป็นสมาธิสั้นก็จะกลายเป็นเด็กก้าวร้าว และทะเลาะวิวาท กลายเป็นปัญหาสังคมในอนาคต
      
ดร.อมรวิชช์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยนโยบายจากส่วนกลางได้ ต้องใช้การจัดการเชิงพื้นที่ด้วย โดยการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ อาทิ สาธารณสุขจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน เป็นต้น เพื่อดูแลสุขภาพเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่โรงพยาบาล ไปยังท้องถิ่นที่ดูแลศูนย์เด็กเล็ก ไปจนถึงโรงเรียน เป็นการรับไม้ต่อด้านข้อมูลและการให้บริการ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องในพื้นที่ 4 จังหวัดแล้ว คือ เชียงราย พระนครศรีอยุธยา สุรินทร์ และภูเก็ต


Mayjung

ตอบกระทู้เมื่อ
13 มิ.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 10
ในพื้นที่นำร่องมีการประสานทั้งโรงพยาบาล ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนให้มีการส่งต่อข้อมูลสุขภาพแม่และเด็กผ่านระบบคอมพิวเตอร์และออนไลน์ เด็กที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้าเมื่อไม่ได้รับการดูแลระบบจะมีการแจ้งเตือน ส่วนของบุคลากรก็พร้อมที่จะดูแลเด็กอย่างเต็มที่พัฒนาการล่าช้าของเด็กจะลดลง ขณะที่ IQ EQ เฉลี่ยจะสูงกว่าเดิม ในกลุ่มพ่อแม่ที่มีฐานะดี หากนำเทคโนโลยีเข้ามาดูแลเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะสมก็จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กอีกทางหนึ่ง แต่หากนำมาใช้มากจนเกินไป อย่างซื้อแท็บเล็ตให้ลูกเล่นนานๆ จะส่งผลต่อพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เป็นการตรึงเด็กอยู่กับที่ ทำให้มีปัญหาในเรื่องของการเขียน การเดินและการวิ่ง เร็วๆนี้ สสค.จะทำวิจัยร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการทำวิจัยการใช้แท็บเล็ตสำหรับเด็กด้วยว่าควรมีการใช้งานในระดับใดจึงจะเหมาะสม ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ


สปศ.

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 11

“จาตุรนต์” ชูการศึกษาวาระแห่งชาติ ตั้งเป้าปี 58 เด็กคิดวิเคราะห์เป็น

“จาตุรนต์” ชูการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ ดันปี 56 เป็นการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา ตั้งเป้าปี 58 เด็กไทยมีทักษะชีวิต คิดวิเคราะห์เป็น พร้อมกำหนด 8 นโยบายสำคัญเร่งสานต่อให้เกิดผลตามนโยบายรัฐบาลและสานต่อทำไว้ 
       
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงนโยบายและการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาแก่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ มีใจความสำคัญตอนหนึ่ง ว่า ตนได้ประมวลนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล และจากที่ รมว.ศึกษาธิการ คนก่อนๆ ทำก่อนหน้า รวมทั้งจากการรับฟังการทำงานและข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่างๆ แล้ว เห็นว่าการจัดการศึกษาควรจะต้องสอดคล้องกับเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม และต้องเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพื่อพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คือสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และเป็นโจทย์ของการศึกษาและการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย โดยเฉพาะการพัฒนาคนให้มีความพร้อมและมีทักษะเหมาะกับศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
      
       อย่างไรก็ตาม จากการจัดอันดับของสถาบันพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มดี พบว่าในปี 2013 การศึกษาของประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 51 จาก 60 ประเทศ และผลการประเมินและผลทดสอบของโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ (PISA) ในปี 2009 นั้น ปรากฏว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 65 ประเทศ ขณะที่ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก โดยไทม์ส ไฮเออร์ เอ็ดดูเคชัน เวิลด์ แรงกิ้ง ปี 2012-2013 มีมหาวิทยาลัยไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับ โดยอยู่ในกลุ่มอันดับที่ 351-400 ดังนั้น ถึงเวลาที่จะต้องยกเครื่องการศึกษาไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลและสอดคล้องกับสังคมยุคใหม่
 
       “ในฐานะ รมว.ศึกษาธิการ ผมจะประกาศให้การจัดการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้ปี 2556 เป็นปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยมีเป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 ภายในปี 2558 ได้แก่ ผลการจัดอันดับการศึกษาไทย ผลการทดสอบ PISA ของไทยอยู่ในอันดับดีขึ้นเปลี่ยนจากอันดับที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 มาสู่อันดับที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 ขณะที่ต้องทำให้สัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาและสามัญเพิ่มขึ้นเป็น 50:50 ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกมากขึ้น ซึ่งอยากเรียกร้องให้สังคมมาร่วมคิดกลไกในการพัฒนาและผลักดันมหาวิทยาลัยไทยด้วย และการกระจายโอกาสและเพิ่มความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น พร้อมกับเน้นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการจัดการศึกษามากขึ้น” นายจาตุรนต์ กล่าว
      
       นายจาตุรนต์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับนโยบายที่ต้องเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและสานต่องานที่ทำไว้แล้ว 8 เรื่อง ประกอบด้วย 1.เร่งรัดปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน 2.ปฏิรูประบบผลิตพัฒนาครู 3.เร่งนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้ 4.พัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล 5.ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานมากกว่าการขยายเชิงปริมาณ 6.ส่งเสริมให้เอกชนและทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมจัดและสนับสนุนการศึกษามากขึ้น 7.เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ และ 8.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้สิ่งที่จะต้องดำเนินการขับเคลื่อนและเป็นกลไลสำคัญของการศึกษา คือ เร่งรัดจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา จัดตั้งสถาบันวิจัยหลักสูตรและพัฒนาการเรียนการสอน สร้างความเข้ามแข็งของกลไลวัดผล ประเมินผล เร่งรัดให้มี พ.ร.บ.อุดมศึกษา เพื่อประกันความอิสระและความรับผิดชอบต่อสังคม และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันจะมีการตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนเรื่องสำคัญต่างๆ และจัดประชุมปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ เพื่อระดมความคิดในการขับเคลื่อนงานตามนโยบาย

http://www.manager.co.th/



สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved