Neric-Club.Com
  สารบัญเว็บไซต์
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
14021661  

กระดานแสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ    

ADMIN

ตั้งกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  รถจักรกทม.พร้อมรบ ขบวนอื่นๆพร้อมหรือยัง?
      
 
   นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังเปิดการอบรมโครงการส่งเสริมพัฒนาตนเองเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการและวิชาชีพสำหรับครู ผู้บริหาร และบุคลากรที่เกี่ยวข้องของเขตคลองสาน ซึ่งสำนักงานเขตคลองสานได้ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ข้าราชการครู ผู้บริหารสถานศึกษาได้พัฒนาตนเองเต็มตามศักยภาพ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558
 
   นางผุสดี กล่าวว่า บุคลากรครูเป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนา ซึ่งครูจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล กล้าที่จะปรับตัว ยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาการศึกษา ซึ่งก็คือการเตรียมความพร้อมให้แก่ข้าราชการครู ผู้บริหารสถานศึกษา และเด็กนักเรียน โดยกรุงเทพมหานครได้เน้นการเตรียมความพร้อมใน 3 เรื่อง คือ ความพร้อมในเรื่องของภาษาต่างประเทศ โดยเน้นภาษาอังกฤษและภาษาจีน, ความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี มีคอมพิวเตอร์ให้เด็กนักเรียนใช้ในการเรียนการสอน พัฒนาระบบอินเตอร์เน็ตและระบบไวไฟให้มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน และความใฝ่รู้ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยเฉพาะในวาระที่ประเทศจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งจะต้องมีความเคลื่อนไหวในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคลากร เงิน วัฒนธรรมและวิถีชีวิต โดยจะต้องวิเคราะห์ว่าทำอย่างไรให้วัฒนธรรมที่ดีของไทยเป็นที่ยอมรับของอีก 9 ประเทศเพื่อนบ้าน และจะนำวัฒนธรรมที่ดีของประเทศเพื่อนบ้านมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศของเราอย่างไร ซึ่ง กทม.จะต้องเตรียมความพร้อม ทั้งครู นักเรียนและผู้ปกครอง เพื่อให้มีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง และพร้อมเป็นพลังคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนกรุงเทพฯ สู่การเป็นมหานครชั้นนำในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
 
รถไฟขบวนอื่นๆพร้อมหรือยัง หัวรถจักรจะไปทิ้งขบวนที่ชุมทางหรือเปล่า?


Krootanoi

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 1

ชอบเพลงนี้จังกลับมาดังอีกครั้งคนละสถานการณ์เดียวกัน
เพลง "เด็กผู้เติบโต"
ร้อง-ทำนอง ประชา พงศ์สุพัฒน์,พัทจารี อัยศิริ
เรียบเรียงเสียงประสาน วิจิต จิตรังสรรค์

"เด็กเกิดมาแล้ว จะเติบโตแล้ว ร้องหาคนดูแล
เด็กอีกเรือนแสน จะเติบโตแล้ว อีกไม่นานแล้วสิ
เด็กจะเป็นหมอ เด็กจะเป็นทหาร เป็นนายกรัฐมนตรี
เด็กปกครองรัฐ เด็กครองเมืองนี้ อีกไม่กี่ปีแล้วเอย
เด็กเติบโตแล้ว อยากเปลี่ยนแปลงแล้ว แสวงหาคนดีงาม
เด็กเติบโตแล้ว เด็กจะคอยถาม อยากเห็นคนเป็นคนดี
(พูด) เตรียมสิ่งใด เอาไว้ให้เราหรือยัง
เป็นความหวังให้เราชื่นเชย
เตรียมสิ่งใด เอาไว้ให้เราหรือยัง
เพราะเราหวังจะสร้างชาติให้งดงามนะเอย"


k.juy

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 2

   อ้าว ตกลงแก๊งค์ไอติม ยิงคำถามไปที่เป้า คน ศธ.หรือคนแรงงาน กระสุนลูกปรายอย่างนี้เดี๋ยวก็ร่วงกันหมดหรอก แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายกำลังปั่นแผนกันควันโขมงของบประมาณแผ่นดิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการท่านหนึ่งเคยตั้งเป้าการเตรียมพร้อมด้านการศึกษาของไทยเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนไว้ว่าประเทศไทยเป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน ต้องมีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง ภายใต้ยุทธศาสตร์วิสัยทัศน์เดียว เอกลักษณ์เดียว และประชาคมเดียว เพื่อความเจริญมั่นคงของประชากร ทรัพยากร และเศรษฐกิจ     หลักสำคัญคือประชาคมการเมืองและความมั่นคงของอาเซียน ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมของอาเซียน   ในส่วน การศึกษานั้นจัดอยู่ในประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่นๆมีความเข้มแข็ง จำเป็นอยู่เองต้องเร่งรัดบุคลากรทางการศึกษา เพราะการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุกๆ ด้าน     อีกสองปีข้างหน้ากว่าจะถึงก็ช่วยๆฉุดกระชากลากถูบุคลากรที่ว่าซึ่งบางส่วนยังไม่ตระหนักเลยว่าทำไมต้องอาเซียน โดยเฉพาะส่วนของการการพัฒนาผู้เรียนสู่การเป็นพลเมืองอาเซียน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ความเอื้ออาทร โดยใช้การศึกษาเป็นกลไกในการสร้างวัฒนธรรมใหม่ ต้นแบบยังเหมือนปูนผสมผิดส่วนไม่รู้จะแกะบล็อกอย่างไรรอให้ปูนแห้งก่อน!!!



ครูทะเล

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 3
ทำอย่างไรให้วัฒนธรรมที่ดีของไทยเป็นที่ยอมรับของอีก 9 ประเทศเพื่อนบ้าน? นี่สิน่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน รณรงค์ยื้อยึดอนุรักษ์กันมาทั้งชาติสารพัดโครงการจนแยกแยะไม่ได้ว่าจีน ยวน พม่า แขก คนในยังไม่ยอมรับกันเองเลยแยกไม่ออกว่าของใคร ต้องให้คนของเรายอมรับในวัฒนธรรมของเราเสียก่อน การจะให้เอาวัฒนธรรมที่ดีของประเทศเพื่อนบ้านมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศของเรานั้นไม่ต้องพูดถึงเลย อะไรเข้ามาโปรโมทดีดีก็รับกันไว้ได้หมดแหล่ะ ถนัดนักเรื่องดูดซับของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง เอาแค่วัฒนธรรมนะ ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่น


K.Chang

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 4

มีความเห็นว่าทั้งผู้เรียนผู้สอนทุกพื้นที่ต้องมีความกระตือรือร้นทางวิชาการและวิชาชีพที่ตัวเองเรียนมากขึ้นกว่าเดิม หากไม่ต้องการเสียโอกาสจากการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและโอกาสการทำงานที่เพิ่มขึ้นในประชาคมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีความคิดที่จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี ความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาสากลโดยเฉพาะอังกฤษเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่จะประกันความก้าวหน้าในการทำงานในอนาคตหรืออาจจะหมายถึงโอกาสในการมีงานทำหรือไม่มีงานทำได้ เพราะถ้าหากเราไม่เก่งจริง ไม่มีคุณภาพจริง จบการศึกษาไปนายจ้างอาจไม่จ้างเรา นายจ้างมีทางเลือกมากขึ้นในการจ้างแรงงานในอาเซียนได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น หากเรามีคุณภาพจริง เราสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้ โอกาสของเราก็มากกว่าเดิม เพราะเราสามารถเดินทางไปทำงานทั่วทั้งอาเซียนโดยไม่มีข้อกีดกั้น  ผู้เรียนผู้สอนก็ต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด ดังนี้ครับผม



คลื่นใต้น้ำ

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 5

การใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของประชาคมอาเซียน  ศธ.ได้ตั้งเป้าหมายให้นักเรียนที่จบชั้น ป.๖ สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมทั้งจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการค้นคว้าหาความรู้จากอินเทอร์เน็ต และสื่อการเรียนรู้ที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยได้เร่งผลักดันและดำเนินการในหลายด้าน เช่น

สร้างศูนย์อำนวยการเพื่อให้ครูเจ้าของภาษามาสอน ครูเกษียณอายุก่อนกำหนด และครูอาสาสมัครจากประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน และฟิลิปปินส์ มาสอนภาษาในโรงเรียน เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้

พัฒนาการเรียนการสอนแบบ English for Integrated Studies (EIS) จะมีการบูรณาการการสอนภาษาอังกฤษในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดตั้งงบประมาณเพื่อให้ครูที่จะสอนวิชาเหล่านี้ ได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารระหว่างกัน นักเรียนก็สามารถเชื่อมโยงและพูดคุยกับเพื่อนต่างชาติในประชาคมอาเซียนได้

พัฒนาห้องเรียนแห่งอนาคต (The Global Class) ซึ่งเป็นห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย เช่น การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ การสอนภาษาอังกฤษของติวเตอร์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยม โดยครูจะเป็นผู้ควบคุมการสอนและทดสอบความเข้าใจของนักเรียน หากต้องการจะให้สอนซ้ำในช่วงใด ก็สามารถทำได้ทันที ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในโรงเรียนสู่มาตรฐานสากล โรงเรียนดีประจำอำเภอ และลงไปสู่โรงเรียนดีประจำตำบล  การอบรมภาษาอังกฤษให้กับครู เพื่อให้ครูยุคใหม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ และใช้ ICT ได้ ซึ่งในยุคปัจจุบันระบบการศึกษาต้องรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและครูจะต้องเท่าทันต่อเทคโนโลยีด้วย  เป้าหมายนี้อยู่ระหว่างการผลักดันและดำเนินการ!!!



KTC

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 6
การอบรมภาษาอังกฤษให้กับครู เพื่อให้ครูยุคใหม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ และใช้ ICT ยังอยู่ระหว่างการผลักดันและดำเนินการเองเหรอะครับ ประเทศไทยที่กำลังพัฒนาถอยหลังเข้าคลองไปอยู่กลุ่มด้อยพัฒนา ขนาดครูพละอย่างผมยังต้องสอนพลานามัยเป็นภาษาปะกิตทั้งที่ใจบอกไม่ใช่ภาษาพ่อง.. แล้วยังมีใช่ไหมครูภาษาอังกฤษและผู้บริหารสถานศึกษาที่ยังคิดและพูดว่าไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่


k.Tanaew

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 7
เมื่อประเทศอาเซียนเข้าสู่ AEC ไม่ว่าคนของแต่ละประเทศจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาราชการ และภาษาประจำชาติอยู่ในขณะนี้ เมื่อต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นที่ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมนั้น ทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ และพนักงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน จะต้องมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ และใช้ได้ดีด้วย
ดังนั้น หากจะให้ลำดับความสำคัญของภาษาที่จำเป็นสำหรับชาวอาเซียนแล้วละก็ ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษาบังคับอันดับแรกที่ประชาชนพลเมืองใน10 ประเทศอาเซียนจะต้องฝึกฝน พัฒนาขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพราะจะต้องใช้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้นแน่นอน เนื่องจากประชาชนของประเทศอาเซียนจะต้องไปมาหาสู่ ทำความรู้จัก เรียนรู้ซึ่งกันละกัน เดินทางท่องเที่ยว เดินทางข้ามพรมแดนเพื่อหางานทำและแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิต ดังนั้น ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียน เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของตน

ต้องยอมรับกันว่าจุดอ่อนของไทยนั้น คือ การที่ยังไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในเวทีต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษทางธุรกิจ การค้า การบริการ การท่องเที่ยว การแพทย์ ฯลฯ ซึ่งถือว่ายังต้องพัฒนาอีกมากเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนอื่นอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพราะฉะนั้นก็ยังต้องขับเคี่ยวกันต่อนะไม่ใช่เฉพาะครูภาษาอังกฤษ ครูอาเซียนทุกคนนั่นแล


บ่าวรัฐ

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 8
เป้าหมายให้นักเรียนที่จบชั้น ป.๖ สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ ถมมาในหลักสูตรตั้งแต่ AEC ยังไม่ตั้งไข่ จนวันนี้ผู้เรียนรุ่นแรกจบมาทำงานแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพูดสื่อสารได้เลย โรงเรียนกวดวิชา และกลุ่มจัดการเทคคอร์สทั้งหลายล่ำซำ เพราะอะไร? ให้ท่านมิตซูโอะ คเวสโก ผู้แสวงหาฝั่งท่านนั้นมาตอบคำถามดีกว่า
เคยมีผู้เสนอให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ มีโครงการเร่งรัดเรื่องการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันสำหรับคนไทยตาดำๆทำมาหาใช้หนี้ แต่ก็คว่ำไปทุกครั้ง เพราะอะไร?
ปิดประเทศหาคำตอบกันดีมั้ย
เอาแค่ใกล้ตัวนี่เห็นๆ ทีวีข่าวสดภาคภาษาอังกฤษมาเมื่อไหร่เปลี่ยนช่อง
ทนดูโฆษณาปัญญาอ่อน มันเพราะอะไร
สันดอนขุดได้ครับ!!


ครูพันธุ์แท้

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 9
ตอบคำถาม จขกท.ดีกว่า คำถามอื่นไม่ต้องการคำตอบใช่ไหมคะ รู้น่าคิดอะไรอยู่
รถไฟขบวนอื่นๆพร้อมหรือยัง
หัวรถจักรจะไปทิ้งขบวนที่ชุมทางหรือเปล่า?
 
ก็เตรียมตามอัตตภาพค่ะ ต้องยอมรับอย่างว่าภาษาเป็นการใช้ทักษะ ต้องฝึกให้มากและใช้งานจริงในทุกวัน ถ้าเราใช้อย่างมีเป้าหมายมองเห็นความจำเป็นจะทำให้ไม่ลำบากเท่าที่คิด โครงการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันของเราล้มเหลวเฉพาะพื้นที่ ที่ไม่มีความจำเป็นใช่มั้ยคะ ในส่วนที่ใช้งานกันจริงก็ใช้ได้ดี คนไทยมีสำเนียงภาษาอังกฤษเพราะและมีคลาสค่ะเจ้าของภาษาหลายคนต่างลงความเห็น
ในส่วนของรถจักรที่หยิกมาเล็กๆก็ปล่อยเป็นเรื่องของผู้แสวงหาฝั่งเหมือนกัน ก็ปล่อยไปตามครรลอง มีความเห็นว่าพากันไปทิ้งที่ชุมทางดีกว่าฉุดกระชากกันไปให้ตกรางกลางทางนะคะ


KETH

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 10
ผลสำรวจจากสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ชี้ทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่ในอันดับที่ 8 จาก 10 ประเทศในเอาเซียน ดีกว่าลาว และกัมพูชาเท่านั้น ส่วนคะแนนโทเฟลอยู่อันดับ 6 ในกลุ่มอาเซียน* โดยเวียดนามแซงหน้าแล้ว หากไม่เร่งปรับทัศนคติ และพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนให้ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้าน อีกสองปีข้างหน้าสถานการณ์แรงงานไทยจะ เสียเปรียบในเวที AEC ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับแรงงานประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนได้ ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ในสายงานนั้น ๆ หรือมีทักษะในด้านอื่น ๆ ก็ตาม โจทย์ปัญหานี้ยากไปเกินไปหรือเปล่าท่านบุคลากรทางการศึกษา คิดกันได้หรือยังว่าจะเดินแผนไหน คิดแต่จะแบ่งจะแยกกันอยู่นั่นแหล่ะ
   การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าภาษาอังกฤษดี คนไทยจะได้เปรียบ เพราะภาษาอังกฤษไม่ได้สำคัญแค่เรื่องการติดต่อสื่อสาร แต่ยังเป็นเหมือนประตูบานใหญ่ในการหาองค์ความรู้ใหม่ด้วยตัวเองเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น


witjung

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 11
 
พอดีพบเลยเอามาแบ่งปันครับผม ที่มา: http://www.prachachat.net


witjung

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 12



Pimchanok

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 13
"หลังเปิด AEC โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมระหว่างประเทศจะพัฒนามากขึ้น เช่น จะมีโครงการรถไฟความเร็วสูงจากประเทศจีนมายังสิงคโปร์ ซึ่งเส้นทางส่วนใหญ่ผ่านประเทศไทย เป็นผลดีต่อการท่องเที่ยว แนวโน้มการท่องเที่ยวของไทยจะขยายตัวสูงมาก มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยกว่า 20 ล้านคน นับว่าเป็นโอกาสทองของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เพราะเราเชี่ยวชาญเรื่องการบริการและการท่องเที่ยวอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามการรู้ภาษาอังกฤษและภาษาที่สามอื่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสของแรงงานไทยในการหางานในอุตสาหกรรมนี้ได้ ”อาชีพที่มาแรงอย่าง อาชีพบริการและการท่องเที่ยว ก็เป็นอาชีพที่น่าสนใจสำหรับเด็กสายศิลป์ เพราะต้องใช้ความสามารถทางด้านภาษาอย่างมาก เด็ก ๆ ควรมีความแข็งแกร่งทางด้านภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาที่สามที่แนะนำคือ ภาษาจีน  ภาษาญี่ปุ่น และภาษาอาหรับ เพราะในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเหล่านี้เดินทางมายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก” อริสรา ธนาปกิจ จากลิงก์ข้างบนขอบคุณค่ะ


หนอนไซเบอร์

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 14
เมื่อไหร่จะยอมรับและแก้ไขกันจริงจังสักที เรารู้ว่าเด็กไทยเกือบร้อยละ 80%  เรียนภาษาอังกฤษ ผิดธรรมชาติ  หลักโดยทั่วไปการเรียนภาษาเริ่มต้นก็คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่คนไทย เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาล จนถึงปริญญาโท หรือปริญญาเอก อาศัยหลักการย้อนศรก็คือ เขียน อ่าน พูด และฟัง จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม คนไทยจึงเรียนภาษาอังกฤษใช้ระยะเวลานานมากๆ การฝึกการฟัง การพูด บางประเทศที่เขามีภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองหรือสามเหมือนเมืองไทย  เขาสอนภาษาอังกฤษกันไม่ถึงระยะเวลา 10 ปี สามารถพูด อ่าน เขียนได้ดี แต่สำหรับคนไทยแม้กระทั่งปริญญาเอก เราก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้  ไม่ใช่ว่าคนไทยเรียนไม่เก่ง แต่เพราะเด็กไทยส่วนมาก ไม่ค่อยได้มีโอกาสฝึกทักษะการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ นั่นก็คือ ฝึกการฟังและการพูด สังเกตง่ายๆ ทำไมเด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยอินเตอร์ถึงเก่งภาษาอังกฤษ ก็เพราะเขาได้ฝึกพูดทุกวันได้ฟังทุกวัน เรามีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่า คนที่ไม่ได้เรียน ก็สามารถพูดคุยและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ หากได้ยินได้ฟังบ่อยๆ หลังจากที่พูดคุยได้ จึงนำไปสู่การเรียนที่เข้าใจง่าย จริงๆ มันเป็นธรรมชาติง่ายๆ เหมือนเราพูดไทยได้ ก่อนจะอ่านออกและค่อยเขียนได้ เท่านั้นเอง  ทำไมข้าราชการผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา คิดไม่ออก และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงเลย ในชั้นเรียนระดับพื้นฐานระบบการเปลี่ยนชั่วโมงเรียนแบบผู้เรียนหมุนเดินเรียนสมควรเลิกได้แล้ว แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กไปพร้อมกันเลย ไม่รู้จัดตารางกันเข้าไปได้ยังไง เรียนวันละ 5 วิชา ผู้สอน 5 คน มาถึงตอนนี้เตรียมจะมาปรับลดชั่วโมงเรียน กลุ่มคนหัวเก่ารากงอกทำท่าจะอลเวงกลัวไม่มีชั่วโมงสอนตามวิชาเอกที่เรียนมาระส่ำระสายกันอีกพักใหญ่ ผู้สอนภาษาอังกฤษสายตรงไม่มีก็ลำบากเลยเพราะส่วนใหญ่เลี่ยงที่จะเรียนเลือกเรียนวิชาเอกที่ไม่ต้องเรียนอังกฤษพื้นฐาน เหมือนยิ่งแก้ยิ่งพัน กทม.ทำถูกแล้วต้องสังคายนาบุคลากรก่อนเร่งด่วนครับผม


Mayjung

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 15

"เรียนภาษาไทยยังไม่ได้เลยจะไปเรียนอังกฤษทำไม"
เคยได้ยินประโยคนี้กันไช่ไหม "เรียนไปก็ไม่ได้ใช้"
ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนไทยถึงไม่เก่งภาษาอังกฤษเสียที ก็เพราะว่าคิดอยู่แบบนี้ทุกวัน คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ คิดว่าตัวเองไม่มีโอกาส คิดว่าตัวเองไม่ได้ใช้ มันมองตัวเองให้ติดลบมาตลอด ยิ่งมาเจอเข้ากับ "วัฒนธรรม" ของเราด้วยแล้วก็ไปกันใหญ่ คนไทยเราชอบ "หมั่นไส้" คนที่ทำดีกว่า ทุก ๆ เรื่องเลยไม่ใช่แค่เรื่องภาษาอังกฤษอย่างเดียว สังคมเราไม่ค่อยเปิดในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่นัก และสังคมเราชอบเปรียบเทียบอย่างมาก อย่าพูดถึงเรื่องการฟังเพลงฝรั่งเลย บางคนชอบฟังเพลงฝรั่งก็โดนว่า
อีกอย่างหนึ่งก็คือเราเป็นวัฒนธรรมที่ค่อนข้างปิดคือวัฒนธรรมเรากลัวการเปลี่ยนแปลง เมื่อลูกหลานพูดภาษาอังกฤษแล้วรับไม่ได้ เพราะว่ากลัวว่าจะกลายเป็นพวกเอาเท้าชี้หน้าเหมือนฝรั่งในอนาคต มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว การทำแบบนี้ทำให้พ่อแม่ที่อยากสนับสนุนลูกหลายตัวเองไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นเสีย
นอกจากนี้แล้วคนหลาย ๆ คนชอบคิดว่าการพูดภาษาอังกฤษดีมันต้องแลกกับการที่เสียวัฒนธรรมของเราไป อย่างเช่น ภาษาเราจะต้องวิบัติเสียหายจะไม่มีใครใช้แน่นอน ต่อไปนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเต็มไปด้วยภาษาอังกฤษจะไม่มีที่ให้คนไทยเหลืออีกต่อไป...(ประมานนั้น) ด้วยความคิดเหล่านี้มันทำให้ทุกคนเกลียดภาษาอังกฤษ และทำให้ไม่ชอบคนที่กำลังคิดไปเรียนจนเก่งหรือว่าทำให้คนที่เก่งอยุ่แล้วกลายเป็นคนที่ไม่ดีไป สุดท้ายคือขอบอกว่าครูในโรงเรียนเนี่ยคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเด็กเสมอจนทำให้เด็กกลัว ครูภาษาอังกฤษส่วนหนึ่งเด็กแหยงไม่เข้าใกล้เลย นอกจากนี้แล้วต้องบอกว่า สิ่งแวดล้อมยังไม่เอื้อ เรารู้ว่าการฝึกทักษะต้องเริ่มด้วยการฟัง แล้วพูด ช่วงหลัง ๆ เห็นรายการทีวีภาษาอังกฤษมากขึ้นก็รู้สึกจะดี แต่ล่ระยะหลังก็ค่อยๆหายไป แล้วจะเอาอะไรมาเป็นสิ่งแวดล้อมให้เด็กเล็กได้เรียนรู้ เด็กบ้านไหนโชคดีพ่อแม่มีความรู้เป็นสังคมใหม่ลูกก็ได้เรียนได้รู้งอกงามไป แต่มันมีสักกี่เปอร์เซนต์ของครัวไทย น่าหนักใจห่วงแต่จะต้องเป็น"ทาสทางวัฒนธรรม"ไม่ได้สำรวจตัวเองเลยว่าตั้งแต่หัวจรดเท้ารับของเขามาเต็มๆ จนเป็นหัวมงกุฎท้ายมังกรให้เห็นกันอยู่ไม่เว้นแม้แต่จิตวิญญานพูดอย่างนี้ก็จะยอมรับกันไม่ได้อีกแล้วสิ



na_na

ตอบกระทู้เมื่อ
11 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 16

เปลี่ยนการสอนภาษาอังกฤษเตรียมคนไทยสู่ประชาคมอาเซียน

ฟาฏินา วงศ์เลขา


ณ เวลานี้ เราคงไม่อาจปฏิเสธได้แล้วว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้จะเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AC) และในกฎบัตรอาเซียนข้อ 34 บัญญัติว่า “The working language of ASEAN shall be English” หรือ ’ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียนคือภาษาอังกฤษ“ นั่นเอง

แต่ถ้าดูจากการจัดอันดับความสามารถด้านการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยแล้วน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น ในปี 2555 ประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ 53 ของประเทศในแถบทวีปเอเชีย  ตกลงไปจากเดิมเมื่อปี 2554 ที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 42 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษน้อยมาก (Very Low Proficiency)

ในขณะที่ผลสำรวจจากสภาเศรษฐกิจโลก  (World Economic Forum) พบว่าคนไทยอยู่ในอันดับที่ 8 จาก 10 ประเทศในอาเซียน นำหน้าลาวและพม่าเท่านั้น

ส่วนผลสำรวจทักษะด้านภาษาอังกฤษของคนทำงาน 5 ประเทศในกลุ่มอาเซียน คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ที่ทำแบบทดสอบวัดทักษะด้านภาษาอังกฤษผ่านโปรแกรม JobStreet ELA (JobStreet English Language Assessment) พบว่า ประเทศที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือ สิงคโปร์ ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับสุดท้าย

ยิ่งโลกไร้พรมแดนมากขึ้น ภาษาอังกฤษก็ยิ่งทบทวีคูณความสำคัญตามไปด้วย ในยุคสมัยก่อนการรู้ภาษาอังกฤษถือเป็นความสามารถพิเศษ แต่ ณ วันนี้หรืออย่างน้อยในอีก 3 ปีข้างหน้าถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกคนจะต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ภาษาอังกฤษไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะผู้ที่จะไปทำงานในต่างประเทศเท่านั้น แม้กระทั่งการทำงานในประเทศไทยก็มีความจำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษไม่แพ้กัน เนื่องจากทุกคนในอาเซียนสามารถเดินทางไปทำงานยังประเทศต่าง ๆ ได้อย่างเสรี
      
มักมีการตั้งคำถามบ่อยครั้งว่า ทำไมเด็ก เยาวชน และคนไทยเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท หรือแม้กระทั่งปริญญาเอก ถ้ารวมระยะเวลาการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยถือว่าใช้เวลานานมาก บางคนนับรวมเกือบ 20 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับชาวต่างชาติได้

หลายคนมองว่าระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบ้านเราผิดพลาดตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ว่าคนไทยเรียนไม่เก่ง แต่เพราะสาเหตุหลักคือ เด็กไทยส่วนมากไม่ค่อยมีโอกาสได้ฝึกทักษะการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ ไม่ได้ฝึกการฟังและการพูด แต่เป็นการเรียนการสอนในห้องเรียนที่เน้นด้านหลักไวยากรณ์มากเกินไป และที่สำคัญคือเด็กส่วนใหญ่เรียนเพียงเพื่อให้สอบผ่านเท่านั้น โดยไม่ได้หวังที่จะต้องเรียนเพื่อนำไปใช้ในการทำงานอนาคต นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไทยหรือคนไทยเรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่การใช้ภาษาอังกฤษก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ดี

มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษหลายท่านแนะนำไว้ว่า การเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ’ต้องเรียนด้วยหูไม่ใช่ด้วยตา“ ดังนั้นการฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก หากต้องเรียนภาษาอังกฤษที่แท้จริง อยากฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องก็สามารถเรียนรู้ง่าย ๆ จากภาพยนตร์ รายการทีวีโชว์ของต่างชาติ เพราะส่วนมากมักจะเป็นภาษาอังกฤษที่นิยมใช้กันในชีวิตประจำวัน

แม้เป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนของกระทรวงศึกษาธิการมุ่งที่จะสร้างพลเมืองยุคใหม่ให้เก่ง ดี มีความสุข และที่สำคัญสามารถแข่งขันในอาเซียนและเวทีโลกได้ มีการวางแผนประกาศจุดยืนเพื่อผลักดันการพัฒนาผู้เรียนให้มีความพร้อมในทุกด้านรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงการพัฒนาทักษะความสามารถด้านการใช้ภาษาอังกฤษให้สามารถสื่อสารได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมสักที

ถึงวินาทีนี้อยากจะถามว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องมีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ แม้ในสังคมแห่งความเป็นจริงยังคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่และยังไม่พร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ เพราะยังคงยึดติดอยู่กับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในรูปแบบเดิมที่ได้มีการวางกรอบไว้ตั้งแต่ยุคดั้งเดิม คือ การเรียนจากตำราหรือหนังสือเรียนนั่นเอง

คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ณ ปัจจุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญยิ่งไปกว่าเพียงแค่การติดต่อสื่อสาร แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่เป็นทางนำไปสู่การแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ใหญ่ที่สุดที่ทุกคนจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงได้ และแน่นอนที่สุดข้อมูลส่วนใหญ่มักเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของเด็ก เยาวชน และคนไทยทั้งชาติให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าภาษาอังกฤษดีก็จะได้เปรียบต่อการพัฒนาตน พัฒนาสังคม และพัฒนาประเทศชาติ

เชื่อมั่นว่าทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ไม่แพ้ชาติใด ที่สำคัญจะต้องมีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนภาษาอังกฤษกันอย่างจริงจัง และรัฐบาลจะต้องหยิบยกขึ้นเป็น “วาระแห่งชาติ” กำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจน

โดยทุกภาคส่วนในสังคมต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนผลักดันช่วยกันพัฒนาคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดกันอย่างจริงจัง.
 
 
 


สปศ.

ตอบกระทู้เมื่อ
12 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 17

  กศน.จังหวัดอุดรฯปักธงสอน EP เตรียมคนพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

   ในปี 2558 ประเทศในกลุ่มอาเซียนจะพัฒนาเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเต็มตัว ประเทศไทยในฐานะของหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมอาเซียน รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของประเทศเพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบ สำนัก งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จึงถือเรื่องการเตรียมความพร้อมด้านภาษาเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะลงไปเติมความรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดย นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. ได้มอบนโยบายให้สำนักงาน กศน.จังหวัดทั่วประเทศเปิดสอนหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ภาคภาษาอังกฤษ (English Program : EP) อย่างน้อยจังหวัดละ 1 ห้องเรียน

สำนักงาน กศน.จังหวัดอุดรธานี เป็นจังหวัดเดียวที่อาสาเปิดสอน EP ใน 2 อำเภอ คือ อำเภอหนองหาน และ อำเภอเพ็ญ โดย ว่าที่ร้อยตรีสมปอง วิมาโร ผอ.สำนักงาน กศน.จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคภาษาอังกฤษ หรือ EP เป็นหลักสูตร 2 ปี หรือ 4 เทอม ที่ กศน.จัดให้เรียนฟรี นักศึกษาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยมีการจัดส่งครูชาวต่างชาติมาสอนด้วยภาษาอังกฤษ สำหรับการสอนภาษาอังกฤษไม่ค่อยเป็นปัญหามากนัก เพราะคนจังหวัดนี้จะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีระดับหนึ่งอยู่แล้ว เนื่องจากผู้หญิงอุดรส่วนหนึ่งจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ อีกทั้งจังหวัดอุดรธานีก็ถือเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีมาก เพราะเป็นจังหวัดที่เชื่อมต่อได้อย่างใกล้ชิดกับหลายประเทศในลุ่มน้ำโขงทั้ง จีน ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ทำให้การเตรียมความพร้อมด้านภาษาสำหรับคนที่นี่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย เพราะเป็นสิ่งจำเป็นและชาวบ้านก็เห็นความสำคัญ

“อำเภอหนองหาน ได้จัดการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษที่ตำบลบ้านเชียง เพราะบ้านเชียงเป็นแหล่งมรดกโลกที่มีนักท่องเที่ยวและนักศึกษาที่ต้องการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ
อารยธรรมซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษามรดกโลก ดังนั้นหากคนในพื้นที่ไม่สามารถใช้ภาษาสื่อสารดีในระดับหนึ่งก็จะทำให้เข้าใจยากและขาดโอกาสที่สำคัญที่เราจะ
เผยแพร่มรดกโลกของเราให้เขาเข้าใจได้” ว่าที่ร้อยตรีสมปอง กล่าว

กศน.ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน เป็นพื้นที่ที่ถูกเลือกให้นำร่องจัดการเรียนการสอนหลักสูตร กศน. EP ซึ่ง นางนวลฉวี ภูดิน ผอ.กศน.อำเภอหนองหาน กล่าวว่า ภาษาอังกฤษมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงเทคโนโลยีก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ตนจึงจัดให้ กศน.ตำบลทุกแห่งเป็นศูนย์ไอซีทีด้วย โดยได้รับความร่วมมือจาก อบต.ทุกตำบล ในการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์มาให้บริการประชาชน สำหรับเรื่องการจัดการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษก็ถือเป็นความโชคดีของจังหวัดอุดรธานี เพราะมีลูกเขยเป็นชาวต่างชาติเยอะมาก มองไปทางไหนก็มีแต่ฝรั่ง ขณะเดียวกันก็มีมรดกโลกบ้านเชียงอยู่ที่นี่ ซึ่งจะมีชาวต่างชาติมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์อยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นภาษาอังกฤษจึงมีความจำเป็น อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กศน.หนองหาน ได้จัดหลักสูตรสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระยะสั้น ไปแล้ว 2-3 คอร์ส แต่ตอนนี้เราต้องการความยั่งยืนจึงได้จัดหลักสูตร EP โดยเน้นนักศึกษา 3 กลุ่ม คือ พ่อค้า แม่ค้า และภรรยาคนต่างชาติ โดยมีอาสาสมัครชาวเยอรมันที่มีภรรยาเป็นคนไทยมาช่วยสอนด้วย
       
นางรุ้งนภา พลเชียงดี อาชีพค้าขายหน้าพิพิธ ภัณฑ์บ้านเชียง หญิงไทยที่มีสามีเป็นชาวออสเตรเรีย บอกว่า มาเรียนภาษาเพื่ออนาคตข้างหน้า เพราะปกติอยู่ที่บ้านก็จะคุยกับแฟนไม่ค่อยรู้เรื่องได้พื้น ๆ แค่ทานข้าว ไปซื้อของใช้ ศัพท์ลึก ๆ พูดไม่ได้ แต่พอมาเรียนแล้วคุยกันรู้เรื่องขึ้นมาก

นายชาตรี ตะโจปะรัง พ่อค้าขายของที่ระลึกหน้าพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง กล่าวว่า จริง ๆ แล้วไม่มีพื้นฐานในเรื่องของภาษาอังกฤษเลย แต่เมื่อขายของตรงนั้นทำให้เราเจอชาวต่างชาติทุกวัน ก็พอจะพูดได้บ้าง ที่มาเรียนเพื่อให้ความรู้แน่นขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็สามารถสื่อสารบอกและแนะนำเขาได้ว่าจะไปไหนมาไหนได้ รู้สึกว่ามีความมั่นใจมากขึ้น จากที่เคยถอดใจ แต่ก็ฮึดสู้ เพราะครูก็ตั้งใจสอน เน้นการพูดคุยจริง ๆ เพื่อให้เรานำไปใช้ได้

Endrex Subaybay ครูสอนภาษาอังกฤษชาวฟิลิปปินส์ โครงการ EP ของ กศน.ตำบลบ้านเชียง บอกว่า รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้ามาสอน ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นภาษาอังกฤษเลย และมีเวลามาเรียนน้อย แต่ก็ตั้งใจสอนและพยายามเน้นให้พูดภาษาอังกฤษได้เพราะเขาจะสามารถนำความรู้ไปใช้พูดคุยได้ ทำงานได้ ซึ่งทุกคนก็ขยันและตั้งใจเรียนกันดี

สำหรับ กศน.อำเภอเพ็ญ ซึ่งเป็นอีกอำเภอที่ขันอาสาจัดโครงการ  EP โดย นายสมัย แสงใส ผอ.กศน.อำเภอเพ็ญ กล่าวว่า เรามีนักศึกษา 32 คน ที่มาเรียนภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งมี  2 คน ที่จบปริญญาตรีแล้ว แต่อยากได้วุฒิภาคภาษาอังกฤษ นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่จบ ม.3 จาก กศน. สำหรับการจัดการเรียนการสอนของอำเภอเพ็ญจะสอนแบบคู่บัดดี้ คือเพื่อนช่วยเพื่อน การทำโครงงานก็ต้องช่วยกันทำ ถ้าคนหนึ่งไม่มาเรียนอีกคนหนึ่งต้องมาเพื่อจะได้ไปสอนกันได้ ขณะเดียวกันครูก็ต้องเป็นคู่บัดดี้กันด้วย เพราะครูก็ต้องลงไปเป็นพี่เลี้ยงให้ทุกกลุ่ม จากการสำรวจความต้องการ พบว่า มีคนต้องการที่จะเรียนหลักสูตรนี้เป็นจำนวนมาก ตนจึงขออาสาจัดห้องเรียน EP เป็นห้องที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานี อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ยังไม่ได้เข้าโครงการเทอมนี้ ตนได้มอบนโยบายให้ครู กศน.ทุกตำบลทุกคนไปจัดสอนแทรกภาษาอังกฤษในหลักสูตรปกติด้วย เพราะเห็นว่าชาวบ้านสนใจและได้ผลสัมฤทธิ์ดีมาก

นางพนารัตน์ จำปาทน วัย 39 ปี บอกว่า การมาเรียนก็ได้ฟื้นความรู้ที่เคยเรียนมาและทิ้งไปนานกว่า  20 ปีแล้ว สามารถแนะนำตัวเองได้ สนทนา ทักทายกับเพื่อนและแนะนำสถานที่เป็นภาษาอังกฤษได้ กลับมาเรียนครั้งนี้สามารถนำความรู้ไปใช้ได้ เพราะทุกวันนี้คอมพิวเตอร์เข้ามาในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น มีภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นซึ่งเราก็ต้องใช้ต้องอ่านต้องเขียนด้วย อยากบอกว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก อยากให้ทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อยากให้ลูกหลานได้เรียน เพราะที่เห็นเด็ก ๆ ไปเรียนต้องเสียเงินเรียน ก็ได้แค่สนทนาเป็น แต่มาเรียนที่นี่ไม่ต้องเสียเงินและได้ทั้งเขียนและพูดด้วย

นางสุปราณี ธาตุมี อาชีพทำนา กล่าวว่า มาเรียนเพราะอยากได้ความรู้เพิ่ม อย่างน้อยก็จะได้พูดกับชาวต่างชาติได้ เพราะพี่เขยเป็นชาวต่างชาติ พี่สาวก็บอกให้มาเรียนไว้เมื่อกลับมาเยี่ยมบ้านจะได้เป็นเพื่อนคุยกับพี่เขย ซึ่งก็เป็นโอกาสดีด้วย เรียนโดยไม่ต้องเสียเงิน และก็เป็นคนชอบเรียนอยู่แล้วกลับบ้านก็ไปสอนลูก ซึ่งก็ได้ผลจริง.

อรนุช วานิชทวีวัฒน์

http://www.dailynews.co.th/



ADMIN

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 18

นักหนังสือพิมพ์-นักการตลาด ขึ้นชั้นกลุ่มอาชีพภาษาดีในอาเซีย

จ็อบสตรีทดอทคอมเผยผลคะแนนเฉลี่ย และการจัดอันดับทักษะด้านภาษาอังกฤษของคนทำงาน 5 ประเทศในกลุ่มอาเซียน จากจำนวน 1,540,785 คน ที่ทำแบบทดสอบวัด ทักษะด้านภาษาอังกฤษผ่านโปรแกรม JobStreet ELA (JobStreet English Language Assessment) แบบประเมินความเข้าใจด้านภาษาอังกฤษจำนวน 40 ข้อ คำถามกว่า 1,000 ข้อ พบว่าประเทศที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือสิงคโปร์ ขณะที่แรงงานไทยอยู่ในอันดับรั้งท้าย และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนตามสายอาชีพภายในประเทศไทย พบว่าสายอาชีพที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าสายอาชีพอื่น ๆ ได้แก่ นักหนังสือพิมพ์/บรรณาธิการ, นักการตลาด/พัฒนาธุรกิจ และเลขานุการผู้บริหาร

ผลคะแนนเฉลี่ยดังกล่าวมาจากกลุ่มผู้หางานจาก 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และไทย ในทุกระดับตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับพนักงาน (Entry and Executive), พนักงานอาวุโส (Senior Executive), ผู้จัดการ (Manager) และผู้จัดการอาวุโส (Senior Manager) พบว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีผลคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ 81% รองลงมาคือฟิลิปปินส์ 73%, มาเลเซีย 72%, อินโดนีเซีย 59% ตามลำดับ

ส่วนไทยมีคะแนนเฉลี่ยเป็นลำดับสุดท้ายคือ 55% และหากมีการจำแนกคะแนนเฉลี่ยตามกลุ่มระดับตำแหน่งงาน พบว่าระดับพนักงานประสบการณ์ 0-3 ปี (Entry and Executive Level) เป็นกลุ่มที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มระดับตำแหน่งงานอื่น ๆ ในประเทศตัวเอง

"ฐนาภรณ์ สถิตพันธุ์เวชา" ผู้จัดการสาขาประเทศไทย บริษัท จ็อบสตรีท (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากผลสำรวจได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการขาดทักษะการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของกลุ่มบัณฑิตจบใหม่ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ทักษะด้านภาษาอังกฤษเป็นตัวแปรสำคัญที่องค์กรใช้ในการพิจารณาคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานในปัจจุบัน ผู้ที่มีทักษะภาษาอังกฤษดีย่อมมีโอกาสในการได้งานมากกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ

"จากผลคะแนนของกลุ่มคนทำงานในประเทศไทยที่ทำแบบทดสอบยังพบความสอดคล้องกันระหว่างระดับตำแหน่งงานและระดับคะแนนเฉลี่ย กล่าวคือผู้ที่มีระดับตำแหน่งสูงจะมีคะแนนเฉลี่ยด้านทักษะภาษาอังกฤษสูงตามไปด้วย โดยพบว่ากลุ่มพนักงานทั่วไปมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 53% ขณะที่กลุ่มพนักงานอาวุโสมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 57%, กลุ่มผู้จัดการ 60% และกลุ่มผู้จัดการอาวุโส 64% ตามลำดับ"

นอกจากนี้เมื่อจำแนกคะแนนเฉลี่ยการวัดทักษะด้านภาษาอังกฤษของกลุ่มคนทำงานในประเทศไทยตามสายอาชีพ พบว่า 3 สายอาชีพที่ได้ระดับคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด คือ 63% ได้แก่ นักหนังสือพิมพ์/บรรณาธิการ, นักการตลาด/พัฒนาธุรกิจ และเลขานุการผู้บริหาร ขณะที่สายอาชีพที่มีทักษะอ่อนที่สุดคือผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งมีผลคะแนนเฉลี่ยเพียง 17%

"ผู้หางานหรือคนทำงานทั่วไปที่เข้ามาทำแบบทดสอบวัดทักษะด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษในการทำงานผ่านแบบทดสอบ JobStreet ELA (JobStreet English Language Assessment) จะทราบผลคะแนนของตัวเอง โดยแบ่งการวัดผลออกเป็น 4 ทักษะ ได้แก่ คำศัพท์ (Vocabulary), การสนทนา (Conversation), ไวยากรณ์ (Grammar) และความเข้าใจ (Comprehension) ซึ่งผู้หางานสามารถทราบว่าทักษะใดที่เป็นจุดแข็งและทักษะใดเป็นจุดอ่อน เพื่อนำไปฝึกฝนและพัฒนาศักยภาพของตนเองต่อไป"

นอกจากนี้ระบบยังแจ้งอันดับคะแนนโดยเปรียบเทียบกับผลคะแนนของผู้ที่อยู่ในสายอาชีพเดียวกัน และผลคะแนนของผู้ที่เคยทำแบบทดสอบทั้งหมดภายในประเทศที่ตนอยู่ รวมถึงผลคะแนนของผู้ที่เคยทำแบบทดสอบทั้งหมดในฐานข้อมูลกว่า 1.5 ล้านคน จากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และไทย)โดยผู้หางานจะทราบว่าผลคะแนนที่ตนเองได้นั้นจัดอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ของผู้ที่เคยทำแบบทดสอบในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งไม่เพียงจะเป็นข้อมูลที่น่าสนใจหากยังเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้รีบถีบตัวขึ้นจากอันดับรั้งท้ายให้เร็วที่สุดด้วยเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทยในอนาคต


ครูทะเล

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 19

สร้างเด็กเก่งอังกฤษแต่หัวใจไทย ผ่านมุมมอง 'เจ้าแม่ตาวิเศษ'

คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช นักพัฒนาชุมชน นักสังคมสงเคราะห์ อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานครและผุ้บริหารอุทยานการเรียรู้ ที เค ปาร์ค ฯลฯ    ประสบการณ์การทำงาน ประวัติการทำงาน กับโครงการกิจกรรมต่างๆ ที่มีโอกาสคลุคลีกับระบบการศึกษาในไทย ได้ให้มุมมองผ่าน “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ต่อต่อระบบการศึกษาภาษาอังกฤษในประเทศไทยและค่านิยมของผู้ปกครองไทยกับการส่งบุตรหลานเรียนโรงเรียนนานาชาติไว้อย่างน่าสนใจ      
        ด้วยแบล็กกราวด์ของคุรหญิงชดช้อย เมื่ออายุ 9ขวบ ต้องเดินทางไปศึกษาเรียนที่ประเทศออสเตรเลียและผลการเรียนอยู่ในระดับท็อปมาตลอด และซึมซับกับค่านิยมของผู้ปกครองไทยที่นิยมส่งบุตรหลานไปเรียนต่างประเทศ หรือปัจจุบันครอบครัวจำนวนมากส่งบุตรหลานเรียนโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยด้วยเหตุผลสำคัญคือต้องการให้ลูกหลานเก่งภาษาอังกฤษ และผู้ปกครองไม่เชื่อมั่นในระบบการศึกษาของไทยกลัวว่าลูกจะตามไม่ทันโลก      
        แต่คุณหญิงชดช้อยมองว่าต้องดูที่กระบวนการสอนด้วย แม้เด้กจะเก่งภาษาอังกฤษ หรือเรียนโรงเรียนนานาชาติ แต่ระบบการสอนที่ไม่พัฒนาทำให้เด็กไทยที่จบไปแล้วไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ไม่สามารถแข่งขันได้ ความคิดไม่ทันคนอื่นและไม่มีจินตนาการ      
        “เราพูดเรื่องปฏิรูปการศึกษามามาก ถ้าเราจะสอนครูอย่างที่เขาสอนกันจัดอบรม ส่งไปเมืองนอก แล้วครูกลับมาไม่มีเวลามาปรับปรุงการสอน เพราะงานที่มีอยู่ก็มาก จากการคลุกคลีกับโรงเรียนตั้งแต่ทำโครงการตาวิเศษ รู้ว่าระบบการศึกษาเป็นอย่างไร วิธีการสอน ผู้ปกครองส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ อนาคตเด็กที่มีความพร้อมที่สุดจะไม่เป็นคนไทย แต่เด็กจะเป็นคนเก่ง ภาษาอังกฤษเก่ง แต่จะได้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง ความลึกซึ้งเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ภาษาไทยไม่รู้เลย ครูที่สอนในโรงเรียนนานาชาติมาจากหลายประเทศจำนวนมากที่ดูถูกคนไทยรู้สึกว่าตนเองเหนือชั้นกว่าคนไทย”      
        คุณหญิงชดช้อย บอกว่า น่าเป็นห่วงอนาคตเด็กไทยหากโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจะมีใจให้กับประเทศไทยจริงๆ หรือไม่ พัฒนาประเทศไทย หรืออาจไม่สนใจที่จะพัฒนา เพราะทุกวันนี้กระแสสังคมไทยทุกอย่างต้องเป็นภาษาอังกฤษ แต่ตนคิดว่าไม่มีใครคิดถึงอนาคตว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นอย่างไร เพราะเด็กเหล่านี้จะเป็นผู้บริหารของประเทศไทยในอนาคต      
        “เรื่องนี้ไม่แฟร์เลยที่ผู้ปกครองกำลังตัดอนาคตของลูก 50% เพราะว่า 50% เขาจะไม่เข้ารับราชการเลยเพราะไม่ได้ภาษาไทยจะสอบเข้าราชการได้อย่างไร บางคนบอกไม่เป็นไร เพราะเขาไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชการอยุ่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะคนเหล่านี้อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินที่ดี เขามีความพร้อมทุกอย่างไม่ต้องการเงิน แต่มีความรู้น่าจะนำมาช่วยพัฒนาประเทศ       
        แม้จะประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานในภาคเอกชน เช่น เป็นนายกสมาคมธนาคาร ประธานหอการค้า แต่เขาจะเจรจาเรื่องกฏหมายไม่ได้เพราะกฏหมายไทยก็ต้องเป็นภาษาไทยไทย ต้องอ่านให้รู้เรื่อง ให้ลึกซึ้ง จึงเป็นปัญหาในอนาคต นี่คือเหตุผลที่น่าเป็นห่วง และรัฐบาลกำลังทำผิดทาง เพราะเข้าไปส่งเสริมไบลิงกัว โดยคิดว่าเรื่องภาษาอังกฤษเป็นเรื่องหลัก เห็นด้วยที่จะมีการสอนภาษาอังกฤตั้งแต่อนุบาลและควรมีเจ้าของภาษามาสอน แต่ภาษาอังกฤษต้องเป็นภาษาที่สอง เหมือนที่เรียนภาษาจีนเป็นภาษาที่สอง”
        ปัจจุบันการเรียนการสอนต้องบูรณาการ สามารถสอดแทรกภาษาอังกฤษเข้าไปได้ในขณะที่วิชานั้นเป็นวิชาที่ต้องเรียนด้วยภาษาไทย เพราะจากการที่ศึกษาดูงานระบบการเรียนการสอบแบบบูรณาการในต่าประเทศพบว่าทุกอาทิตย์ครูผู้สอนต้องมาประชุมกันว่าสัปดาห์นี้จะสอนเรื่องอะไร จะสอนวิทยาศาสตร์สอนเรื่องหัวใจ บูรณาการเข้าไปเด็กก็จะรับได้เร็วขึ้น สอนวิทยาศาสตร์ก็ให้เด็กค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นภาษาอังกฤษเรื่องหัวใจ ทำให้เด็กมีความรู้เร็วขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องสอนเป็นภาษาอังกฤษ ปัจจุบันพบว่าโรงเรียนไบลิงกัวเช้าสอนภาษาอังกฤษ บ่ายต้องมาทบทวนเป็นภาษาไทย แล้วมีประโยชน์อะไรที่ต้องให้เด็กมาเรียนเนื้อหาซ้ำๆ      
        “ความจริงแล้วโรงเรียนไบลิงกัว โรงเรียนนานาชาติในไทย มีมากกว่า 10 แห่งที่มีคุณภาพดีจริงๆ แต่บางแห่งต้องยอมรับว่ายังไม่ได้มาตรฐาน มีครูที่ไม่ใช่เจ้าของภาษามาสอน เช่นครูชาวพม่า ฟิลิปปินส์      
        นอกจากนี้โรงเรียนนานาชาติหลายแห่งในไทยไม่ได้สอนประวัติศาสตร์ ประเพณีของไทย แต่เป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมของทั่วโลกแล้วคนสอนก็ไม่รู้วัฒนธรรมประเณีของประเทศเหล่านั้นเลย และเกรดหรือระดับความรู้ของครูก็แตกต่างกัน เช่น โรงเรียนไบลิงกัวค่าใช้จ่ายถูกกว่าโรงเรียนนานาชาติกว่า 50% คุณภาพของครูที่มาสอนก็ต้องลดลงด้วย”      
        คุณหญิงชดช้อย ได้ยกตัวอย่างโครงการทำร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่พัฒนาระบบการศึกษาภาษาอังกฤษตั้งแต่รากฐานคือครูผู้สอนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ เป็นโครงการร่วมกับ บริติส เคาซิล จัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ ซึ่งบริติส เคาซิล มีแนวคิดเดียวกันที่จะนำครูจากต่างประเทศเข้ามาสอนและส่งครูจากไทยไปอบรมยังต่างประเทศ โดยได้ให้ทุนไปศึกษาดูระบบการเรียนการสอนและส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเข้ามาทำระบบร่วมกันเป็นเวลา 3 เดือน นอกจากนี้ได้เจรจากับโรงเรียนนานาชาติหลายแห่งเช่น โรงเรียนนานาชาติบางกอกพัฒนา โรงเรียนเซนต์แอนดรูว์ สามัคคี ที่สนใจโครงการนี้ร่วมกัน      
        ขณะเดียวกันได้ชักชวนผู้บริหารโรงเรียนเอกชนต่างๆ เพื่อสอบถามปัญหา พบว่า ยังมีเพดานค่าจ้างครูที่จะมาสอน แต่โรงเรียนจำนวนหนึ่งไม่สนใจเพดานค่าจ้างเพราะมองว่าหัวใจสำคัญของการศึกษาคือครู เจรจากับโรงเรียน 5 แห่งที่ให้ความสำคัญกับครู พัฒนาครูจึงจะทำโครงการการพัฒนาครูร่วมกันทำต่อเนื่องมา 5 ปี      
        หลังจบโครงการนี้ ก็เจรจาทำต่อเนื่องกับโรงเรียนในสังกัด กทม. เพราะการที่ทำกับโรงเรียน กทม. ถือว่าอนาคตสิ่งที่ปลูกฝังไปก็ยังอยู่เพราะเด็กๆเหล่านี้เป็นแกนนำในอนาคตและโรงเรียนก็สามารถสานต่อโครงการได้      
        “แม้วันนี้ที่เราไม่ได้ทำแล้วยังมีคนสานต่อเพราะเขาคือองค์กร โครงการทำกับจากโรงเรียนเล็ก ๆที่มีไม่ชื่อเสียง ไม่มีใครสนใจแต่หยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้ซึ่งโรงเรียนก็ต้องการทำโครงการร่วมกับเราและปรากฏว่าไปได้ดี”      
        นี่คือมุมมองของผู้หญิงแก่ง ที่นำความรู้ ประสบการณ์การทำงาน เพื่อพัฒนาความรู้ภาษาอังกฤษของเด็กไทยอย่างถูกทิศทางถูกทาง เพื่อเยาวชนไทยหัวใจไทย เติบโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ


สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved