Neric-Club.Com
  สารบัญเว็บไซต์
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
14027870  

กระดานแสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ    

ADMIN

ตั้งกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  เรื่องดีดีที่บ้านเรา
 
สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยใช้งานเขียนผลิตสื่อสะท้อนแนวคิดชายแดนใต้ พร้อมประกาศผลผู้ชนะเลิศ การประกวดส่งเรื่องดีๆที่บ้านเรา เตรียมพิมพ์เป็นหนังสือเผยแพร่
 
สศร.ใช้งานเขียนผลิตสื่อสะท้อนแนวคิดชายแดนใต้

 นายเขมชาติ เทพไชย ผอ. สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย(สศร.) เปิดเผยว่า สศร. ได้จัดการประกวดงานเขียนเรียงความ เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา  เพื่อสะท้อนความคิด และมุมมองความเชื่อ วิถีวัฒนธรรมของเด็กและเยาวชน รวมถึงประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งให้เด็กและเยาวชนได้นำสิ่งที่ดีๆที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ มาบอกเล่าผ่านตัวอักษร  ทั้งนี้ปัจจุบันเมื่อพูดถึงจังหวัดชายแดนภาคใต้มีแต่ความหวาดกลัวจากเสียงระเบิด หวาดระแวงจากการถูกลอบทำร้าย และความไม่ปลอดภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ดังนั้นการที่เยาวชนสะท้อนเรื่องดีๆ ออกมา ก็จะทำให้ตัวเขาเองลดความกดดันจากสิ่งที่ต้องเผชิญ รวมทั้งจะทำให้สามารถถ่ายทอดให้คนทั้งประเทศได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สวยงามในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ได้มากขึ้น

ผอ. สศร. กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการได้ตัดสินงานเขียนโครงการเรื่องดีๆ ที่บ้านเราเรียบร้อยแล้ว โดยระดับประถม รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เรื่อง โต๊ะหวันเล่าให้ฟัง ของด.ช.ปรัชญา ดาราหมาน จากโรงเรียนบ้านใหม่ จ. สตูล รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ เรื่อง โรงเรียนวัดแต่มุสลิมสร้าง ของ ด.ช. ซุลอัฟนาน การี จากโรงเรียนชุมชนบ้านต้นสน จ. ปัตตานี รองชนะเลิศอันดับ2 เรื่อง เรื่องกล้วยๆ แต่หิน ของ ด.ญ. กุญแจ อินทรไชยมาศ โรงเรียนอนุบาลยะลา จ. ยะลา ระดับมัธยมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เรื่อง ขนมจีนเส้นญาติ ของ ด.ช. นามเทพ ขุนเพ็ชร์ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา รองอันดับ1 ได้แก่ เรื่อง กอและ- ปาตะกือฆะ มรดกจากผู้เฒ่า "เป๊าะเวาะเยะ" แห่งปะเสยะวอ น.ส. เจนจิรา หะยีรอสา โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ปัตตานี รองอันดับ2 เรื่องทุ่งนา แสงเทียน วิถี และศรัทธา  ของ นายโตนาวัฒน์ ศรีสาย โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ. สงขลา และระดับอุดมศึกษาและบุคคลทั่วไป รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เรื่องโตนดด้วน ของ นายนพดล พลกูล จ. สงขลา รองอันดับ 1 เรื่อง ทวดต้นโพธิ์และคอนโดมิเนียม ของ นายประภาศ ปานเจี้ยง จ. สงขลา รองอันดับ2 ได้แก่ เรื่อง เสียงของหัวใจ ของ นายสะอูดี ดือเร๊ะ จ.นราธิวาส

" สศร. จะนำงานเขียนที่ได้รับรางวัลทั้งหมด จัดพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีต่างๆ เผยแพร่ให้โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นสื่อการสอนและเผยแพร่ความรู้ให้แก่คนทั่วประเทศในมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความคิด ความเชื่อ และวัฒนธรรมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่ถูกต้องต่อไป" ผอ.สศร. กล่าว
 


k.juy

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 1
 
 
สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยใช้งานเขียนผลิตสื่อสะท้อนแนวคิดชายแดนใต้ พร้อมประกาศผลผู้ชนะเลิศ การประกวดส่งเรื่องดีๆที่บ้านเรา เตรียมพิมพ์เป็นหนังสือเผยแพร่


บ่าวรัฐ

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 2

เพียงพอก็พอเพียง' รางวัลภาพถ่ายแห่งแผ่นดิน ผลงานเด็ก ม.รังสิต
สิ่งที่ช่วยสะท้อนความทรงจำเหล่านั้นของเราให้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าคือ 'ภาพถ่าย' ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วขณะหรือจังหวะหนึ่งในชีวิต เหมือนกับภาพถ่าย “เพียงพอก็พอเพียง” ผลงานของ "นายคันธ์ชิต สิทธิผล" ว่าที่บัณฑิตสาขาศิลปภาพถ่าย คณะศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากโครงการภาพถ่ายแห่งแผ่นดิน ประจำปี 2554-2555 ภายใต้แนวคิด “เพื่อประโยชน์สุข” ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
 เจ้าของรางวัลชนะเลิศภาพถ่าย “เพียงพอก็พอเพียง” กล่าวว่า โครงการประกวดภาพถ่ายแห่งแผ่นดิน ถือเป็นโครงการประกวดภาพถ่ายที่ใหญ่มากๆ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวินิจฉัยภาพถ่ายด้วยพระองค์เอง จึงตัดสินใจส่งภาพถ่ายเข้าร่วมประกวด สำหรับหัวข้อในการประกวดครั้งนี้ คือ “เพื่อประโยชน์สุข” ก็เลยนึกถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พอเพียง ซึ่งเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ประชาชนชาวไทย ประกอบกับที่ตัวเองเป็นคนชอบถ่ายภาพแนวสารคดี ชอบถ่ายรูปเกี่ยวกับชีวิตคน เพื่อเก็บวิถีชีวิต เรื่องราวต่างๆ ที่คาดว่าในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะเลือนหายจากสังคมไทยไปตามกาลเวลา จึงได้เป็นแนวคิดหลักของผลงานภาพถ่าย “เพียงพอก็พอเพียง
 
ผลงานภาพถ่าย “เพียงพอก็พอเพียง” เป็นภาพที่ต้องการสะท้อนเรื่องราวการใช้ชีวิตของชาวนาไทย ที่ยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม โดยไม่มีการใช้เครื่องจักรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำนา ยังใช้แรงคนในหมู่บ้านช่วยกัน มีการถ้อยทีพึ่งพาอาศัยร่วมกันลงแขก เกี่ยวข้าว ฟาดข้าว ซึ่งเป็นสังคมที่อาจะหาไม่ได้แล้วในปัจจุบัน และสามารถตอบโจทย์คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง และคำว่า ประโยชน์สุข ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งนาขั้นบันไดในปัจจุบันเริ่มมีน้อยลง จนอาจจะถึงขั้นไม่มีต่อไปในอนาคต นั่นเป็นสิ่งที่คนไทยเราน่าจะอนุรักษ์เรื่องราวดีๆ ของความมีน้ำใจ รวมถึงการทำนาแบบขั้นบันไดที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเอาไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็น สำหรับเทคนิคที่ใช้ในการถ่ายภาพ คือ เทคนิคการจัดองค์ประกอบแบบจุดตัดเก้าช่องเหมือนตอนที่ได้เรียนมา ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของจังหวะและเวลา ซึ่งภาพบางภาพอาจจะเซ็ตเพื่อการถ่าย แต่ภาพนี้เป็นภาพที่ชาวบ้านกำลังช่วยกันฟาดข้าวอยู่จริงๆ แล้วจังหวะก็พอดีกับช่วงเวลาที่กดชัตเตอร์ถ่ายภาพ จึงทำให้ได้ภาพที่ได้อารมณ์และมีบรรยากาศจริง
 
หากนับตามการตัดสินของคณะกรรมการ จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดถึง 1,169 ภาพ ภาพถ่ายของผมอยู่เป็นลำดับที่ 13 ซึ่งจะมีเพียง 12 ภาพเท่านั้น ที่ได้รับการทูลเกล้าฯ นำเสนอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย แต่มีภาพของผู้เข้าประกวดท่านหนึ่งที่ผิดกติกา ภาพของผมจึงได้รับเลือกทูลเกล้าฯ นำเสนอแทน ต้องบอกว่ารู้สึกตื้นตันใจมาก คือผมเป็นแค่คนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แค่ได้ทราบว่า พระองค์ท่านได้ทอดพระเนตรผลงานภาพถ่ายของผม ผมก็รู้สึกมีความสุขมากๆ ถึงจะไม่ได้รับการคัดเลือกก็ปลื้มใจมากแล้ว แต่พอทราบว่าพระองค์ท่านทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเลือกภาพที่เราถ่าย นั่นยิ่งทำให้รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับตนเองและครอบครัว เพราะถือได้ว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตการถ่ายภาพ"

นอกจากนี้ คันธ์ชิต ยังเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการถ่ายภาพว่า เริ่มถ่ายภาพมาประมาณ 1-2 ปี ก่อนเข้าเรียนที่สาขาศิลปภาพถ่าย มหาวิทยาลัยรังสิต พอได้เข้ามาเรียนก็เริ่มจริงจังกับการถ่ายภาพมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้ยิ่งมีความสุข และยังได้ส่งภาพเข้าไปประกวดตามโครงการต่างๆ พอส่งประกวดแล้ว หากได้รับรางวัลก็จะนำสิ่งเหล่านั้นมาต่อยอดในการถ่ายภาพ อีกสิ่งหนึ่งของการส่งภาพประกวดคือ เราจะได้เรียนรู้ฝีมือของตัวเองควบคู่ไปด้วย ทำให้เราไม่หยุดอยู่กับที่ และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือประสบการณ์ที่มีค่าจากคอมเม้นต์ต่างๆ ของกรรมการ เพื่อมาดูว่าสิ่งที่เรายังขาดคืออะไร ต้องเพิ่มเติมจุดใด เพื่อจะได้พัฒนาและปรับปรุงในแต่ละย่างก้าวของเราต่อไปสู่อนาคต
 
 ภาพประกอบจาก : บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)


Krootanoi

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 3

เพลง อยู่อย่างพอเพียง


ภายใต้ฟ้าที่กว้างใหญ่ มีขุนเขาให้คนปีนป่าย อยากจะไปให้ไกลให้สุดดังใจฝัน

พอหวังสูงจนเกินไป กลับเป็นทุกข์ท้อแท้ในใจ และดวงดาวมิใช่คำตอบที่ต้องการ

กลับมาเอนกาย แนบลงซบอุ่นไอดิน

สู่ความเคยชิน ที่เราเคยหลงลืมไปนาน

กว่าจะรู้ว่าผืนดิน ท้องฟ้าหน้าบ้านเรานั้น ที่เป็นของสำคัญเกินสิ่งใดใด

อยู่อย่างพอเพียงใกล้ตัวความสุขยังมี อยู่อย่างพอดี ไม่มีความทุกข์ร้อนในใจ

สุขจริงแท้ในชีวิตคน จะค้นเจอได้ไม่ไกล อยู่ในใจของคนรู้จักเพียงพอ

ความมุ่งมั่นยังมีอยู่ ยังต้องสู้ต้องทำทุกอย่าง อยู่บนทางที่แม้จะเหนื่อยแต่ยังไหว

ยังต้องคิดต้องทำดี ต้องมานะพากเพียรเข้าไป และดวงดาวไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ

อยู่อย่างพอเพียงใกล้ตัวความสุขยังมี อยู่อย่างพอดี ไม่มีความทุกข์ร้อนในใจ

สุขจริงแท้ในชีวิตคน จะค้นเจอได้ไม่ไกล อยู่ในใจของคนรู้จักเพียงพอ

อยู่อย่างพอเพียงใกล้ตัวความสุขยังมี อยู่อย่างพอดี ไม่มีความทุกข์ร้อนในใจ

สุขจริงแท้ในชีวิตคน จะค้นเจอได้ไม่ไกล อยู่ในใจของคนรู้จักเพียงพอ

แค่มีคำว่าพอก็สุขเกินใคร



KTC

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 4
เรื่องดีดีที่บ้านเรา

แง่คิดดีๆ   จากชายชราผู้จากไป
โดย พิษณุ นิลกลัด
(ยกมาจากอีเมล์ส่งต่อ)  
สัปดาห์ สุดท้ายของปี   2548   ผมไป งานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย  81 ปีที่ผมรู้จักเขามา ยาว นาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ  แต่สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ   ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า สวดสามวันแล้วเผา ไม่ ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า , อย่าร้องไห้ ทุกคน ต้องมีวันนี้
เพียง แต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
แล้ว ลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวด สามวันเผา
งาน สวด 3  คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน  คือ เมีย ลูก หลานเขย สะใภ้ และผม! ซึ่งเป็นคนนอก
เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น คนหนึ่ง
เป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพ ที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
 จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่ง หัวหน้าหน่วย แต่ ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย   อึ๊งภากรณ์ อดีต ผู้ว่าการแบงค์ชาติ
จึง ดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้ กระทั่งวันตาย
 ผมสนิทกับเขา เพร าะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้  พอมาเจอะผมที่เป็น นักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด  30  ปี
ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการ ดำรงชีวิต
 วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา  4 แสนกว่าบาท  เขาปลอบใจผมว่า
'ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา
 คิดซะว่าได้ทำบุญ  จะได้ไม่ทุกข์ '
 เขามี วิธีคิด ' เท่ๆ '
แบบที่ผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่า
สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร
คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบา หวาน หัวใจ ความดัน เกาต์
และไต ทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์  โดยไม่ปริปากบ่น
แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวัน หยุดสุดสัปดาห์
โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุง ปัสสาวะ ไป ด้วยตลอดเวลา เนื่องจากไตไม่ทำงาน  ปัสสาวะเองไม่ได้    
6 เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
เวลา ลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้ง ผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน  10 นาที แต่ 10 นาที ที่ พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคน พูดตรงกันว่า
' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม '
พอ แขกกลับ ลูก หลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขา ตอบว่า
' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก '
 เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่ อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่อง  
แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์!
 4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัย เป็นแพทย์อินเทิร์น จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก
แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน
แต่ อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16  ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
' ขอให้ผมกลับบ้าน เถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง'
คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน '
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน  แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
 1  เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา
แต่ แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลา ลูก   เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า
' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที '
เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง ! เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย
 เขายังรับรู้  แต่พูดไม่ได้
นี่ กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยา กระซิบข้างหูว่า
' พ่อสู้นะ '
เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า
' สู้ '
 เขา สู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า
' คุณลุงแกสู้จริงๆ '
 ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึก ถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
' โรค ภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย '
' แง่คิดดีๆ  จากชายชราที่จากไป '
สอน ให้เรารู้ว่า...
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์
ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆ ในชีวิต
จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกายและจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆ ได้อย่างที่สมองสั่ง

จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ!
หากทุกๆ ครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาดอาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ ต่อไป
ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป ...เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม


witjung

ตอบกระทู้เมื่อ
14 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 5
พระราชดํารัสเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทาน ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2541

“เศรษฐกิจพอเพียง... จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้
 แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน
ต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน
ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้...”
 
พระราชดํารัสเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จากวารสารชัยพัฒนา
"เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน
 เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง
สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม
แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป"


สปศ.

ตอบกระทู้เมื่อ
24 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 6
 
หลักสูตรชาวนามืออาชีพ ตอบโจทย์ทำนาไม่จน

สสค.จับมือสถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ ม.เกษตรฯ ปั้นหลักสูตรชาวนามืออาชีพ ตอบโจทย์เรียนไป “ไม่จน-ไม่เหนื่อย-เท่ห์” หวังพลิกภาพชาวนาก็เป็นมหาเศรษฐีได้เหมือนอาชีพอื่น

เมื่อพูดถึงปัญหา “แน่นอก” ชนิด “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนนี้ คงหนีไม่พ้น “ข้าวไทย” ที่ผู้ใหญ่ใจดีหลายฝ่ายกำลังช่วยกันหาทางออกให้ชาวนาได้ลืมตาอ้าปากกันอีกครั้ง!แต่หากมองย้อนไปให้ถึงรากหญ้า ปัญหา “ทำนา แต่ไม่ได้นา” ทำให้อาชีพที่ถูกขนานนามว่าเป็น “สันหลังของชาติ” กลายเป็นอาชีพที่คนรุ่นใหม่ปฏิเสธ
 
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และสถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงร่วมกันจัด “โครงการจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ชาวนามืออาชีพ” กล่าวถึงโครงสร้างปัญหาของชาวนาไทยที่ทำนาแล้วไม่ได้นาว่า ชาวนาไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายความอยู่รอด นอกจากนี้ก็ยังมีการถ่ายทอดโรงเรียนชาวนามืออาชีพออกมาในรูปแบบการ์ตูน เพื่อดึงดูดให้เด็กเยาวชนสนใจ
 
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค.ระบุสถิติเยาวชนไทยเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาเพียง 30 % ขณะเด็กส่วนใหญ่ 70% ทะยอยหลุดจากระบบการศึกษาตั้งแต่ป.6 และต้องเข้าสู่ระบบแรงงานแบบไม่ตั้งตัว ทำให้ไม่มีทักษะเพียงพอในการประกอบอาชีพ สร้างปัญหาการว่างงาน จึงเห็นควรว่า เทรนด์การศึกษาไทยยุคใหม่ต้องเน้นเรื่องการมีงานทำ
 
“ประเด็นสำคัญคือ ต้องเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้จากการถ่ายทอดเป็นการลงมือทำ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ขยายผลหลักสูตรทั้งในและนอกระบบ เพื่อส่งเสริมการเรียนทักษะอาชีพ และอาศัยความร่วมมือจากสื่อเพื่อต่อสู้กับกระบวนการความคิดที่รู้สึกว่า เป็นชาวนา เป็นเกษตรกรแล้ว “เหนื่อย จน ไม่เท่ห์” โดยทำให้เด็กเยาวชนรุ่นใหม่ เห็นว่า ชีวิต “ชาวนามหาเศรษฐี ทำได้จริงอย่างไร?” ซึ่งเป็นการต่อสู้กันในความคิด เพื่อแก้ปัญหาลูกชาวนาลูกเกษตรกรละทิ้งไร่สวน เพราะมีค่านิยมที่ทำนา ไม่ได้นา  โดยล่าสุดอายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยก็พุ่งสูงขึ้นเป็น 55 ปีและจะสูงถึง 65 ปี หากปัญหาไม่ได้แก้ไขใน 10 ปีนี้”
 
รศ.จุฑาทิพย์ ภัทราวาท ผอ.สถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ มก. ในฐานะหัวหน้าโครงการจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ชาวนามืออาชีพ กล่าวว่า ความเสี่ยงของชาวนาไทยคือ การเผชิญกับความไม่รู้และขาดทักษะการทำการเกษตรสมัยใหม่ จึงมีการออกแบบหลักสูตรโรงเรียนลูกชาวนาเพื่อสร้างชาวนามืออาชีพ ประกอบด้วย ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ และความรู้ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ปัญหาโครงสร้างชาวนาไทยมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญคือ 1. การแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น  2. การขาดทักษะและความรู้ ทั้งความรู้เท่าทันกลไกตลาด การลดต้นทุนการผลิตและการจัดการ จึงตกเป็นเหยื่อธุรกิจการผลิต การขายปุ๋ยและสารเคมี และ 3. ขาดวิถีชีวิตที่พอเพียงทั้งการส่งลูกเข้าเรียนในเมืองทำให้หมดตัวกับการศึกษา เป็นหนี้เงินกู้จากกับดักเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ นอกจากนี้ยังถูกกระหน่ำจากปัจจัยภายนอกทั้งการถูกนายทุนผูกขาดกดราคาตลาดทำให้ไม่มีอำนาจต่อรอง กฎหมายที่ไม่เอื้อต่อชาวนารายย่อย นโยบายรัฐที่แก้ปัญหาปลายเหตุโดยไม่แก้ที่ต้นเหตุคือการติดอาวุธทางปัญญาให้กับชาวนาไทยรุ่นใหม่
 
สำหรับ “เนื้อหาในพ็อกเก็ตบุ๊คการ์ตูนชาวนามืออาชีพ” จะสะท้อนถึงปัญหาหัวอกพ่อลูกชาวนาไทยคู่หนึ่ง ที่แม้ลูกชายจะเติบโตอย่างมีความสุขในท้องนา แต่สังคมกับคิดตรงข้าม“เพื่อนร่วมชั้นเดียวกันเล่าว่า พ่อทำนามาตั้งแต่ผมเกิดจนตอนนี้พ่อก็ยังเป็นแค่ชาวนาจนๆเหมือนเดิม ถึงผมจะชอบไปนากับพ่อ แต่เพื่อนๆที่โรงเรียนชอบว่า ชาวนาน่ะ ยังไงก็จนไปทั้งชีวิต..”ตัวละครได้สะท้อนปัญหา และทางออกร่วมกันว่า อยากจะเห็นชาวนาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเพื่อนร่วมอาชีพที่สามารถปรึกษาหารือกันได้ ใช้ชีวิตสมฐานะไม่ต้องมีหนี้สิ้นติดตัว สุขภาพแข็งแรงชีวิตแจ่มใส ชาวนาต้องไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ แต่เขาเก่งไม่เหมือนคนอื่น ความหวัง “ชาวนา (รุ่นใหม่) มืออาชีพ” จึงต้องเชี่ยวชาญทั้งการปลูกข้าว การวางแผนบริหารและมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้ต่อไปโรงเรียนชาวนา หรืออาจจะขยายเป็นมหาวิทยาลัยชาวนา เป็นที่พึ่งและทางออกของปากท้องของคนไทยได้เต็มปากเต็มคำดังเช่นในอดีต
 


ADMIN

ตอบกระทู้เมื่อ
24 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 7
 
 
 อยากจะเห็นชาวนาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเพื่อนร่วมอาชีพที่สามารถปรึกษาหารือกันได้ ใช้ชีวิตสมฐานะไม่ต้องมีหนี้สิ้นติดตัว สุขภาพแข็งแรงชีวิตแจ่มใส ชาวนาต้องไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ แต่เขาเก่งไม่เหมือนคนอื่น ความหวัง “ชาวนา (รุ่นใหม่) มืออาชีพ” จึงต้องเชี่ยวชาญทั้งการปลูกข้าว การวางแผนบริหารและมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้ต่อไปโรงเรียนชาวนา หรืออาจจะขยายเป็นมหาวิทยาลัยชาวนา เป็นที่พึ่งและทางออกของปากท้องของคนไทยได้เต็มปากเต็มคำดังเช่นในอดีต


K.Pim

ตอบกระทู้เมื่อ
24 ก.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 8

ทึ่ง!แท็กซี่เมืองกรุงใจดี คืนกำไรให้ผู้โดยสาร แจกเครื่องดื่มตามค่ารถ

ข่าวคราวเกี่ยวกับแท็กซี่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวแท็กซี่โกงมิเตอร์บ้าง หลอกพาไปชิงทรัพย์ หรือข่มขืนบ้าง แม้แต่ผู้ชายอกสามศอกบางคนก็พากันเข็ดขยาด กลัวการขึ้นแท็กซี่ไปเลยก็มี

เรียกว่าจะใช้บริการแท็กซี่แต่ละครั้ง เหมือนเสี่ยงดวง ตาดีได้ ตาร้ายเสีย

แต่หากใครได้มีโอกาสใช้บริการของแท็กซี่สีเหลืองสดใส ยี่ห้อโตโยต้า ทล 7879 กรุงเทพมหานคร ของอู่ณรงค์ศักดิ์ ซึ่งโชเฟอร์คือ นายกิตติชัย หรือ เล็ก อินแสงแวง หนุ่มวัย 45 ปี อาจจะต้องงุนงงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

เพราะมีป้ายประกาศห้อยติดไว้ว่า จัดโปรโมชั่นแถมเครื่องดื่มให้ลูกค้า

หากค่าโดยสารราคา 99 บาทขึ้นไป จะได้รับน้ำอัดลมยี่ห้อดัง 1 กระป๋อง 199 บาทขึ้นไป ได้รับ 2 กระป๋อง และหากมีค่าโดยสารเกิน 999 บาท จะได้รับชามะนาวยี่ห้อดัง 3 กระป๋องทันที

เท่านั้นยังไม่พอ!!??

หากใครที่บังเอิญได้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง เพียงยื่นนามบัตรของโชเฟอร์ ผู้ใจดีให้ดู จะได้รับชาเขียวยี่ห้อดังไปเลย 1 ขวด

กิตติชัยโชเฟอร์ใจดีเผยถึงที่มาที่ไปของโปรโมชั่น ดังกล่าวว่า เกิดจากความประทับใจในผู้โดยสารที่มาใช้บริการ

เพราะหลายครั้งที่พบผู้โดยสารที่ไม่เอาเงินทอน โดยเฉพาะลูกค้าชาวต่างชาติ

แม้พยายามยัดเงินคืนไปแต่ผู้โดยสารก็ไม่รับ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากตอบแทน หาทางคืนกำไรให้กับลูกค้าบ้างเท่านั้น

กิตติชัยเล่าว่า เขาเป็นชาว จ.นครพนม เข้ามาหาขุดทองในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2535 เริ่มทำงานเป็นสิงห์รถบรรทุก ลูกจ้างของบริษัทส่งสินค้า

แต่เนื่องจากรายได้น้อยจึงเริ่มเช่ารถแท็กซี่ขับ เพื่อหา รายได้เสริมวันเสาร์-อาทิตย์

"กระทั่งวันหนึ่งรถบรรทุกที่ผมขับเกิดเสียต้องส่งอู่ซ่อม เถ้าแก่กลับมาเก็บค่าซ่อมรถกับผมครึ่งหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ เพราะรถก็เป็นของบริษัท และเสียขณะที่ทำงานให้บริษัท เลยขอลาออกทันที"

จากนั้นกิตติชัยก็เปลี่ยนงานไปหลายแห่ง เพราะเขาบอกว่ารักในอาชีพขับรถ

กระทั่งตัดสินใจเลิกเป็นลูกจ้างคนอื่น ออกมาขับรถแท็กซี่เต็มตัว เมื่อ 3 ปีก่อน

สาเหตุหนึ่งที่เขาอยากเป็นโชเฟอร์แท็กซี่เต็มเวลา เพราะประทับใจในตัวเถ้าแก่อู่รถแท็กซี่ณรงค์ศักดิ์ ย่าน ซ.วุฒากาศ 57 ฝั่งธนบุรี

"ครั้งแรกที่ไปขับแท็กซี่ที่อู่นี้ รู้สึกประทับใจเจ้าของอู่มาก เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็น เจ้านายคนไหนที่ลูกน้องแอบงีบหลับ แต่ตัวเองยังยืนกวาดขยะอยู่ข้างๆ โดยไม่ว่าอะไรสัก คำเดียว"

กิตติชัยเล่าความรู้สึกในนาทีนั้นว่า คงไปหาเจ้านายอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว จึงตั้งใจใช้ความซื่อสัตย์ทำอย่างเต็มที่

จุดเริ่มต้นของแนวคิดการคืนกำไรให้ลูกค้า กิตติชัยเล่าว่า เริ่มทำครั้งแรกตั้งแต่เดือนธ.ค. 2555

ช่วงแรกให้เป็นโปรโมชั่นวันเกิดของผู้โดยสาร โดยขอดูบัตรประชาชนลูกค้า หากตรงกับวันที่มาใช้บริการแท็กซี่ของเขา ก็จะแจกของรางวัลให้ทันที

แต่วิธีนั้นกลับทำให้ผู้โดยสารระแวง หาว่าจะไปแอบดูบัตรประชาชนของเขา จึงต้องยกเลิกไป แล้วเปลี่ยนเป็นโปรโมชั่นปัจจุบัน เริ่มทำตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา

หลังจากเริ่มโปรโมชั่นแจกเครื่องดื่มตามราคาค่าโดยสาร ได้การตอบรับเป็นอย่างดี

กิตติชัยกระซิบบอกว่า ช่วงแรกคิดจะแจกเบียร์กระป๋องให้ลูกค้าที่มีค่าโดยสาร 999 บาทขึ้นไป แต่มีคนทักว่าผิดกฎหมาย จึงต้องเปลี่ยนเป็นชามะนาวแทน

กระทั่งมีผู้โดยสารใจดีคนหนึ่ง อาสาจัดทำป้ายทำแผ่นป้ายโปรโมชั่น แบบเคลือบพลาสติกใสอย่างดีมาให้ พร้อมแนะนำให้ทำนามบัตรแจกผู้โดยสาร

ซึ่งผู้โดยสารเมื่อขึ้นมาเห็นจะชอบใจมากชวนกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เพราะเห็นว่าแปลกใหม่ไม่เคยมีมาก่อน

ที่สำคัญเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารด้วย

เพราะมีหลายครั้งที่ผู้โดยสารลืมของไว้ แล้วโทร.กลับมารับของกลับได้อย่างครบถ้วน

กิตติชัยบอกว่า ในการทำงานถือคติ 2 ข้อ คือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง และ ?รักน้อยๆ แต่รักนานๆ? ตามเนื้อเพลงของ สายัณห์ สัญญา นักร้องชื่อดัง ส่วนเรื่องรายได้หรือกำไร-ขาดทุน ไม่ได้คิดถึง ทำทั้งหมดเพราะใจรักในงานบริการ

โชเฟอร์ใจดีกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า

"หากผู้โดยสารมีความสุข ผมก็มีความสุขด้วย และเชื่อว่าเมื่อลูกค้าประทับใจ โอกาสหน้าเขาจะกลับมาใช้บริการอีก"


สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved