มิคสัญญีกลียุคในอียิปต์(ในเรา)
ที่อียิปต์กำลังเกิดมิคสัญญีกลียุคประชาชนล้มตายจำนวนมากและยังไม่มีทีท่าว่าจะ ยุติลงได้อย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวช
เราควรเรียนรู้เหตุการณ์เขาเพื่อให้เราฉลาดขึ้น
(๑) ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ปกครองประเทศด้วยเผด็จการมานาน ประชาชนไม่พอใจพากันลุกฮือขึ้นโค่นล้มอำนาจ ปรากฏการณ์นี้เกิดในหลายประเทศอาหรับจนมีผู้เรียกว่าเป็น “ฤดูใบไม้ผลิแห่งอาหรับ” (Arab Spring) (๒) มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี มูร์ซีแห่งภราดรภาพมุสลิมชนะการเลือกตั้ง (๓) ประธานาธิบดีมูร์ซีบริหารประเทศมาได้ ๑ ปี พวกนิยมเสรี(Liberals) ไม่พอใจ เพราะพรรคภราดรภาพแห่งมุสลิมซึ่งเรียกกันว่าเป็นพวกอิสลามิสต์ มีแนวทางการบริหารประเทศโดยใช้กฎหมายอิสลามอย่างเคร่งครัด เป็นความขัดแย้งระหว่างอิสลามิสต์กับฝ่ายนิยมเสรีซึ่งพบทั่วไปในโลกอิสลาม (๔) ในโลกอิสลามมีอิสลามิสต์จำนวนมากกว่าพวกเสรีนิยม เมื่อมีการเลือกตั้งฝ่ายอิสลามิสต์ก็จะชนะ ฝ่ายนิยมเสรีทนไม่ได้ก็ไปร่วมกับกองทัพทำการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (๕) รัฐประหารก็แก้ปัญหาไม่ได้ ประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลเก่าที่มาจากการเลือกตั้งก็ทำการประท้วง เกิดการปราบปรามผู้คนล้มตายจำนวนมาก ดังที่กำลังจะปรากฏอยู่ แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อประชาธิปไตย(เลือกตั้ง)ก็แก้ปัญหาไม่ได้รัฐประหารก็แก้ปัญหาไม่ได้
บทเรียน (๑) เผด็จการทุกรูปแบบนำไปสู่ปัญหา (๒) เผด็จการเสียงข้างมากก็นำ ไปสู่ปัญหาได้ การเลือกตั้งเป็นกระบวนการให้ได้มาซึ่งผู้ที่จะทำหน้าที่บริหารประเทศแต่ในการบริหารประเทศ ต้องคำนึงถึงคนทั้งหมดที่มีความหลากหลาย ไม่ใช่เพื่อใช้อำนาจเผด็จการเสียงข้างมากดังกรณีของประธานาธิบดีมูร์ซีและภราดรภาพมุสลิม ซึ่งทำให้เกิดการประท้วงจากผู้ไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวาง และนำไปสู่การที่กองทัพเข้ามาทำรัฐประหาร (๓) ไม่ควรทำรัฐประหาร เพราะแก้ปัญหาไม่ได้ และก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมาอย่างสางไม่ออก ดังที่กำลังเกิดกับอียิปต์ ขยายความ (๑) การคิดแบบตายตัว นำไปสู่การแยกส่วน นำไปสู่ความสุดโต่ง นำไปสู่ความรุนแรง คนส่วนใหญ่ในโลกคิดแบบนี้ รวมทั้งชาวพุทธไทยด้วย ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าสอนวิธีคิดแบบอื่น ในประโยคแรกของปฐมเทศนาก็ทรงตรัสแล้วว่า “เทฺวเม ภิกขเว อันตา...” (ส่วนสุดทั้งสองภิกษุไม่ควรเสพ) เทฺว อ่านว่า ทะเว=ทวิ=สอง ; อันตะ=ส่วนสุด (extremes) ทางพุทธศาสนาสอนการคิดแบบความเป็นเหตุปัจจัยหนุนเนื่อง ไม่แยกข้างแยกขั้ว บางครั้งทรงเรียกการคิดแบบนี้ว่าเป็นทางสายกลางหรือ มัชฌิมาปฏิปทา โลกล้วนคิดแบบตายตัวจึงเข้าไปสู่การแยกส่วนสุดโต่งและรุนแรง ต้องปรับวิธีคิดจึงจะเกิดสันติภาพ
(๒) สังคมสมัยใหม่เต็มไปด้วยความหลากหลาย การอยู่ร่วมกันด้วยสันติจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อยอมรับเห็นคุณค่าและความงามของความหลากหลาย การครอบงำด้วยลัทธิใดลัทธิหนึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรง
(๓) การเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวางจะลดความตึงเครียดในสังคม สร้างความสมานฉันท์ และการเพิ่มสมรรถนะในการพัฒนาประเทศ การคืนอำนาจไปให้ชุมชนจัดการตนเอง ท้องถิ่นจัดการตนเอง จังหวัดจัดการตนเอง จะทำให้แก้ปัญหาต่างๆในสังคมไทยไปได้เกือบหมด รวมทั้งลดความรุนแรงของการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อกินรวบการบริหารประเทศ All Muslim United AMU Power (พลังอำนาจแห่งการรวมตัวของมุสลิมทั้งหมด)
AMU จะสามารถแก้ปัญหาอียิปต์และปัญหาอื่นๆในโลกได้ คนมุสลิมทั่วโลกมีประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านคน มีจุดร่วมกันคือความรักใน พระอัลเลาะฮ์ เช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลาย ประชาคมมุสลิมก็มีความหลากหลาย เช่นหลากหลายในนิกาย หลากหลายทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ท่ามกลางความหลากหลายเหล่านี้หากคนมุสลิมทั้งหมดสามารถรวมตัวกัน จะเป็นพลังอำนาจอันมหาศาลเพื่อสันติภาพและความเจริญของโลก AMU ควรยอมรับความหลากหลายในประชาคมมุสลิม รวมตัวกันพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา วิชาการ สันติวิธีและสันติภาพ พัฒนา Islamic Perspective of Development หรือการพัฒนาตามกระบวนทัศน์อิสลาม ให้โลกเห็นว่าเป็นโมเดลการพัฒนาที่ดีกว่าโมเดลการพัฒนาแบบบริโภคนิยมของตะวันตกที่กำลังประสบสภาวะวิกฤตอยู่ในขณะนี้ โดยมุ่งแสดงตัวอย่างวิถีชีวิตที่ดี มากกว่าการมุ่งโค่นล้มแบบคอมมิวนิสต์เคยทำ ซึ่งทำให้แพ้ภัยตัวเอง วิถีชีวิตที่ดีที่แสดงให้โลกเห็น อีกหน่อยใครๆก็อยากทำตาม ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม โลกมุสลิมที่เศรษฐกิจดี การศึกษาดี สังคมดี เหนียวแน่นในพระอัลเลาะห์และรักสันติภาพ จะเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในโลกอย่าว่าแต่ปัญหาแค่ในอียิปต์เลย ปัญหาอื่นๆของโลกที่โลกกำลังป่วยอยู่อย่างหนัก AMU ก็จะสามารถช่วยเยียวยาโลก (Heal the World) ได้ ถ้าชาวมุสลิมทั้งหมดรวมตัวกัน
กรุงเทพธุรกิจ |