เมื่อวันที่ 2 ส.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วงหนึ่งว่า จะหาว่าตนไม่รู้จักประชาธิปัตย์ดี ตนกับพรรคประชาธิปัตย์ลึกซึ้งกันมาก นายชวน หลีกภัย สนิทกับ คุณป๋าสุทธิ์ ช่องดารากุล พ่อภรรยาของตน คุณป๋าเป็นทนายความใหญ่อยู่ จ.ตรัง เป็นคนสนับสนุน นายชวน ให้เล่นการเมือง นายชวนกับภรรยาตน รู้จักกันดี น้องชายนายชวน ตอนที่ไปเรียนเมืองนอกก็เคยมาพักด้วยกัน ตนกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็เหมือนญาติกัน พ่อเขากับพ่อตนเป็นเพื่อนสนิทกัน รู้จักกันดีมาก สมัยที่ตนกลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ ตนก็เป็นผู้จัดการฝ่ายหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่กรุงเทพมหานคร ตนรู้จักกับคนเก่าแก่ของพรรคหมด แล้ว ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ก็เป็นประธานงานแต่งงานของตนด้วย ถามว่าตนไม่รู้จักพรรคประชาธิปัตย์หรือ ตนรู้จักถึงขี้ถึงไส้ รู้จักมาก่อนพวกสาวกหลายคนที่มาเที่ยวด่าตนอย่างทุกวันนี้ ตนรู้ดีว่าดีเอ็นเอของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร ไม่เคยเปลี่ยน
ถามต่อว่าอะไรทำให้มันผันแปรมาเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่า เมื่อประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล คิดว่าบ้านเมืองจะดีขึ้น อุตส่าห์เตือนเขาหลายเรื่อง แต่เขาก็พริ้วไปเรื่อย จนกระทั่งเขาพริ้วไม่ออกในกรณีของ นายวีระ สมความคิด และ MOU 2543 ที่ตนรับเขาไม่ได้คือไปทำให้คนอย่าง นายวีระ และ น.ส.ราตรี ต้องติดคุก ทั้งที่ยืนอยู่ในแผ่นดินไทย หรือสมมติจะยืนอยู่บนแผ่นดินเขมรก็ต้องสู้ให้คนไทย แล้วที่เจ็บปวดหัวใจที่สุดคือปล่อยให้จับ แต่ไปวิ่งเต้นให้ปล่อย นายพนิช ออกมา มันเห็นชัดเจนเลย
และเหตุการณ์อีกอย่างที่รับไม่ได้เลย คือพี่น้องเราตายไปวันที่ 7 ตุลา ปรากฏว่าวันที่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ผิด โดยอำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งรับมอบอำนาจเป็นตัวแทนนายกฯ ใน ก.ตร. ต้องปลด พล.ต.อ.พัชรวาท แต่ไม่ยอมปลด ทั้งที่มีอำนาจ แล้วการเปลี่ยนหัวหน้าพนักงานสอบสวนจาก พล.ต.อ.วุฒิ พัวเวส ที่ยืนยันชัดเจนว่าพันธมิตรฯไม่ผิด มาเป็นพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ขอถามว่าการเมืองสั่งให้เปลี่ยนใช่ไหม ก็เพราะเขาต้องการจับพันธมิตรฯแขวนคอไว้ เพราะคิดว่าตัวเองจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกจะได้ไม่มีใครมาขวาง แต่พอแพ้เลือกตั้ง แล้วพันธมิตรฯไม่ยอมออกไปล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็หาเรื่องใส่ร้ายมาตลอด จนกระทั่งหาว่าสนธิรับเงินทักษิณ
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณี นายสุเทพ ประกาศพร้อมนำมวลชนต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษฯ หากผ่านวาระ 3 ว่า ตนอยากให้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ทุกคนในพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจาก ส.ส. ทั้งหมด และมาร่วมกับประชาชน แล้วนั่นคือการเปลี่ยนแปลงประเทศที่แท้จริง อย่างที่บอกตนรู้จักพรรคประชาธิปัตย์ดี ว่าไม่เคยเปลี่ยน ใช้ชุดภาษาเดิมๆว่ายังไงก็ดีกว่าเพื่อไทย แต่ดูนายทักษิณ กับ นายสุเทพ ไม่ต่างกันเลย ทั้งนิสัยใจคอ ลักษณะการพูดจา จุดยืน นายทักษิณบอกว่าเสียงปืนแตกจะนำหน้าพี่น้องประชาชนเอง แล้วพอตัวเองเป็นรัฐบาลบอกพี่น้องส่งตัวเองถึงฝั่งแล้วไม่ต้องตามมาแล้ว ส่วนนายสุเทพ บอกว่าพร้อมลงมาสู้กับพี่น้องต้านพ.ร.บ.นิรโทษฯ เป่านกหวีดสู้เลย ผ่านไป 3 วัน บอกว่าเดี๋ยวผ่านวาระ 3 ก่อน ทั้งที่รู้ว่าอย่างไรก็แพ้ 3 วาระ แล้วจะสู้ไปทำไม ต้องหาวิธีสู้ใหม่ ซึ่งมี 2 ทาง คือนิ่งเฉยไปเลย หรือว่าลาออกจาก ส.ส. แล้วมาสู้กับภาคประชาชน ขอเปรียบกับไดโนเสาร์ ที่ต้องสูญพันธุ์ก็เพราะว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองตามกาลเวลาได้ ประชาธิปัตย์กำลังจะเป็นไดโนเสาร์
นายสนธิ กล่าวอีกว่า จนวันนี้ยังไม่เห็นนายสุเทพ หรือพรรคประชาธิปัตย์พูดเลยว่า ที่ชวนประชาชนออกมาโค่นพรรคเพื่อไทย วัตถุประสงค์มันอยู่ที่ไหน เพื่ออะไร ถ้าบอกว่าเพื่อที่จะปฏิรูปทางการเมือง พวกคุณต้องลาออกทั้งหมดแล้วมาเคลื่อนไหวทั้งประเทศเพื่อเปลี่ยนการเมือง ถ้าไม่ทำแสดงว่าวัตถุประสงค์ที่พยายามยุยงส่งเสริมให้พันธมิตรฯออกมาก็เพียงแต่ต้องการสลับขั้วเท่านั้น
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า ประชาธิปัตย์มีตั้ง 12 ล้านเสียง จะกลัวอะไร ไม่ต้องแอบอีกต่อไป ออกมาเป็นแนวหน้าเลย และพันธมิตรฯจะอยู่ข้างเวทีแล้วให้กำลังใจเต็มที่ เชียร์สุดฤทธิ์สุดเดชเลยรับรอง จะเชื่อมสัญณาณถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวีด้วย อีกทั้งคนของประชาธิปัตย์หลายคนมีศักยภาพสูง อย่าประมาทเลย ไม่ว่าจะเป็นนายชวนนท์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายเทพไท ออกมาเลย มีทีวีตั้ง 2 ช่อง บลูสกาย ทีนิวส์ หนังสือพิมพ์ที่เชียร์พรรคประชาธิปัตย์ ก็มีแนวหน้า พิธีกรบนเวทีก็มีเยอะ แล้วถ้า นางกาญจนี วัลยะเสวี นำพวกไฮโซแถวสุขุมวิทออกมานำข้างหน้าเลย มันจะเป็นภาพเดินขบวนที่สง่าผ่าเผยมาก อย่ามาเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ตนรับรองว่าชนะ
แล้วมีอะไรพร้อมให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะการตั้งโรงอาหาร การดูแลความปลอดภัย การถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมง การหลบระเบิด เอ็ม-79 มีวิธีทำส้วมให้ อย่าตัดสินใจนาน เดี๋ยวโอกาสมันจะผ่านไป ไม่ต้องรอถึงวาระ 3 มันนานเกินเพราะอย่างไรก็แพ้ หากโดนล้อม ตนจะสั่งนายอมร อมรรัตนานนท์ ให้พาคนไปช่วยเหมือนคราวที่แล้ว แต่อยากให้ออก
นายสนธิ กล่าวถึงกรณี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จกลับวังไกลกังวล ว่า ตนดูแล้วน้ำตาซึม การแปรพระราชฐานครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบประมาณ 4 ปี เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ที่สำคัญคือทั้งสองพระองค์ทรงมีพระวรกายแข็งแรง คือในช่วงประมาณเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา มีคนประสงค์ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ พยายามปล่อยข่าวลือตลอดเวลาว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงประชวรหนักลุกไม่ได้
แล้วอยากพูดกับพล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. ว่าวิทยุเสื้อแดงของนายโกตี๋ ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ท.คํารณวิทย์ ธูปกระจ่าง และวิทยุเสื้อแดงอีกหลายสถานีพากันวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระนางเจ้าในเรื่องของการประชวรมานานแล้ว และนายกยิ่งลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ทำอะไร ตัวพล.อ.ประยุทธ์ เองก็ยังนั่งเฉยๆ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เขาจะมีหมายบอกชัดเจนเลยว่าให้ใครบ้างมารอส่งเสด็จ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ซึ่งในอดีตเป็นคนเดินเคียงข้างสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้พระองค์ท่านเกาะแขน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เด็กในบ้านที่พระองค์ท่านเลี้ยงดูมาตั้งแต่เป็นนายร้อย ภรรยาก็เป็นนางสนองพระโอษฐ์ ผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว คนเหล่านี้ถึงไม่ได้หมาย แต่ว่าด้วยจิตที่จงรักภักดี รู้อยู่แล้วว่า นี่คือการเสด็จแปรพระราชฐานเหมือนกลับบ้าน คุณจะเสียสละเวลาไปยืนร่วมกับชาวบ้านเขาได้ไหม ให้รู้ว่าคุณมาส่งเสด็จด้วยความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นจอมทัพ จอมทัพกำลังจะออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน มีหมายไม่มีหมายก็ควรจะมาด้วยใจ แต่ไม่มีใครโผล่ไปเลย ทำให้ยิ่งมั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซื้อกองทัพได้แล้ว
ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ไปอยู่แถวๆแทนซาเนียซึ่งก็ไม่รู้จะไปทำอะไรแถวนั้น แต่นายนิวัฒน์ธํารง บุญทรงไพศาล ซึ่งรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นตัวแทนรัฐบาลทำไมไม่ยืนหัวแถวส่งเสด็จท่าน แต่ตนก็พอเข้าใจได้ว่า นายนิวัฒน์ธํารง บุญทรงไพศาล นายคนนี้ปีที่แล้ววันเฉลิมพระชนพรรษาเป็นคนออกประกาศห้ามจุดพลุ กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
นายสนธิ กล่าวต่อถึงกรณีพีทีทีจีซีทำน้ำมันรั่ว ว่า นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน บอกว่าอย่างฟ้องปตท.เลย เพราะใช้เวลานาน คนๆนี้ไม่ทำอะไรนอกจากเลียไข่ทักษิณ ในอดีตทำอสังหาริมทรัพย์ เสี่ยเพ้งเป็นคนแนะนำลิเดียให้ทักษิณ มีอยู่วันหนึ่งทักษิณไปกับเสี่ยเพ้งที่ไหนก็ไม่รู้ ลิเดียขึ้นร้องเพลง ทักษิณบอกเด็กคนนี้น่ารัก เสี่ยเพ้งเขาหาทางแนะนำให้รู้จักเลย เขาเป็นคนที่พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เชื่อใจ ทั้งสองคนไม่ขัดข้องจนได้มานั่งตำแหน่งรมว.พลังงาน ซึ่งเป็นมีผลประโยชน์เต็มตัว เสี่ยเพ้งเป็นคนไม่มีจิตสาธารณะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะไปกังวลทำไมกับเรื่องบ้าๆ บอๆ พวกนี้ เพราะว่าเขาชัดเจนอยู่แล้ว
กรณี ปตท. นี้มันสะท้อนให้ข้อคิดหลายเรื่อง ประการแรก มันภูมิอกภูมิใจในการเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีธรรมาภิบาลอันดับหนึ่ง วันนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าอะไรที่มันอยู่ในสื่อ อะไรที่ได้รางวัล ใครที่ได้ถ้วย อย่าไปเชื่อ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ปตท. เป็นบริษัทที่ไม่เคยมีธรรมาภิบาลแม้แต่นิดเดียว เวลา ปตท. จะได้ประโยชน์จากรัฐก็บอกว่าตัวเองเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่เวลาจะรับประทานกับประชาชนคนไทยก็บอกตัวเองต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
การที่บอกว่าทำน้ำมันรั่วแค่ 5 หมื่นลิตร แต่ทำไมต้องขอสารเคมีที่เอามาบำบัดน้ำมันถึง 3.5 หมื่นลิตร ทั้งที่จริงต้องใช้แค่ 5 พันลิตร เพราะเขามีหลักการคำนวณว่า สารบำบัด 1 ลิตร บำบัดน้ำมันได้ 10 ลิตร แต่นี่ขอ 3.5 หมื่นลิตร แสดงว่น้ำมันต้องรั่วประมาณ 3.5 แสน ลิตรสิ อ้างว่าขอเผื่อไว้ ทำไมไม่เผื่อเป็นแค่ 1 หมื่นลิตร ก็พอ นี่คือการโกหกหน้าด้านๆ
และสิ่งที่ปตท.ทำจะทำความฉิบหายให้แก่ทะเลไทย ต่อไปอีกเป็น 10 ปี เพราะว่าสารที่เอาไปละลายน้ำมัน เป็นสารประเภทเดียวกันกับที่ใช้ที่อ่าวเม็กซิโก ที่บริษัทน้ำมันของอังกฤษ BP British Petroleum เอาไปใช้ นักวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กันมาแล้วว่าสารตัวนี้มีพิษร้ายแรงกว่าน้ำมันดิบธรรมดาถึง 50 เท่า มันปะการังมันตายแหล่งที่จะผลิตอาหารให้ปลาก็หมดไป หญ้าใต้น้ำตาย ที่กำเนิดของปลาตัวเล็กก็ไม่มี ปตท.ไม่รู้ตัวเองได้สร้างความอำมหิตเอาไว้
ปตท.บอกว่ากำลังประเมินค่าเสียหายที่บริษัทจะชดใช้ให้รัฐว่าน่าจะอยู่ที่ 24 ล้าน - 1.9 พันล้าน ทำไมช่วงมันห่างขนาดนี้ แบบนี้ประเทศไทยฉิบหาย เพราะต้องประเมินว่าชาวประมงที่ต้องมีชีวิตอยู่กับสัตว์น้ำที่อยู่ย่านนั้นทั้งหมดมีกี่เจ้า มีเรือกี่ลำ เจ้าของเรือมีกี่ลำ ลูกเรือที่อยู่ในเรือมีกี่คน ตรงนี้ต้องประเมินออกไปอย่างน้อย 5 ปี กว่าทุกอย่างมันจะเริ่มกลับคืนสู่สภาพธรรมชาติเหมือนเดิม เท่ากับว่า 5 ปี รายได้ของเรือแต่ละลำที่เคยได้ในอดีต ได้มาเท่าไรต้องคูณ 5 เข้าไป แล้วรวมไปถึงธุรกิจท่องเที่ยว พ่อค้าแม่ขายทั้งหลายด้วย นี่ยังไม่นับผลที่สะเทือนต่อเนื่องไปทั้งระยอง เพราะคนมาเที่ยวน้อยลง ปตท.ต้องรับผิดชอบเศรษฐกิจระยองตั้งแต่อำเภอเมือง อำเภอแกลง อำเภอบ้านเพ ไปถึงอ่าวพร้าว ถ้าจำเป็นต้องจ่ายต่อหัวๆละ 5 หมื่น - 1 แสน ก็ต้องจ่าย
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000095639