Neric-Club.Com
  สารบัญเว็บไซต์
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
13996962  

กระดานแสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ    

ADMIN

ตั้งกระทู้เมื่อ
05 ส.ค. 2556
  คนไทยรักแผ่นดิน
 
       
              ชาติใด  ไร้รัก  สมัครสมาน
              จะทำการ  สิ่งใด  ก็ไร้ผล
               แม้ชาติ  ย่อยยับ  อับจน
               บุคคล  จะสุข  อยู่อย่างไร
                    
พระราชนิพนธ์  ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว 
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ฉะนั้นเราคนไทยทุกคนควรรักกัน "เรารักเมืองไทย"
 
บทความ  “คนรักชาติ”
ประเทศไทย...ดำรงเอกราชความเป็นชาติไทยมานาน
ประเทศไทย...มีศาสนาพุทธ
ประเทศไทย...มีพระมหากษัตริย์
ประเทศไทย...เป็นแผ่นดินที่มีอุดมสมบูรณ์
ประเทศไทย...นับถือเคารพกันแบบญาติพี่น้อง
ประเทศไทย...มีสภาพภูมิอากาศดี  น่าอยู่
ประเทศไทย...มีเพลงชาติไทย เพลงเดียวเท่านั้น
ประเทศไทย...สามัคคี ปรองดอง รักสงบ
ประเทศไทย...มีอัธยาศัยน้ำใจดีงาม สยามเมืองยิ้ม
ประเทศไทย...คนเปลี่ยนไป...
     ถึงอย่างไรเราก็คนไทยด้วยกัน  รักกันไว้สามัคคีกันไว้ดีกว่า  ประเทศไทยมีแค่ประเทศเดียวในโลก  เป็นประเทศเล็ก ๆ  เรามีกันแค่นี้ แค่หกสิบกว่าล้านคน  บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ  ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า  เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา  หน้าที่เรารักษาสืบไป  ก็ทะนุบำรุง รักชาติไว้  เราทุกคนคือญาติพี่น้องกัน   อย่ามองเห็นกันและกันเป็นอื่นไกล   เพราะเราทุกคนในวันนี้คือลูกหลานของบรรพบุรุษในอดีต  สังเกตพฤติกรรมคนไทยด้วยกัน  คนไทยนี้รักสงบตรงเพลงชาติไทย อย่าไปเอาอะไรของชาติอื่น พฤติกรรมของคนอื่น  ค่านิยมของคนอื่นมาทำลายความเป็นไทยในตัวของเรา  เราต้องรัก สามัคคี กันไว้ทะเลาะกันทำไม   คิด ๆ สิเราเป็นญาติพี่น้องกันจริง ๆ
     
   รักชาติ หมายความว่าการเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม ของชาติ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ทำงานอะไรก็ทำเพื่อส่วนรวม ไม่ทำเพื่อส่วนตัว ไม่คิดถึงตัวเองเป็นใหญ่ การทำอะไรต่าง ๆ เพื่อหวังสิ่งตอบแทน  ตัวจะได้อะไรจากการกระทำนั้น นั่นคือการกระทำที่มีแต่ความโลภ  มีแต่ความอยากได้ ไม่มีความเสียสละ  ทำงานใดก็เกิดการทุจริตงาน  งานนั้นก็เสียหาย  การคอรัปชั่น คดโกง กินสินบาทคาดสินบน  เกิดขึ้นเพราะอะไร  ก็เพราะคนไม่รักชาติแท้จริง  แต่รักตัวเองมากกว่ารักชาติ  ทำอะไร ๆ  ก็เพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อชาติ   เพื่อประเทศไทยของเราควรจะเปลี่ยนแนวคิดกันเสียใหม่ว่า  ตัวเรานี้มันเล็กน้อย ชาติไทยใหญ่กว่า เราทำอะไรก็ต้องนึกถึงชาติไทยของเรา  นึกถึงประเทศไทยของเรา  เวลานี้ เราต้องการคนรักชาติ รักประเทศอย่างแท้จริง  เสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง  โดยเฉพาะผู้ทำงานในการบริหารประเทศชาติ เช่น ข้าราชการก็ต้องทำงานเพื่องานอย่างแท้จริง  เห็นแก่ส่วนรวม  พึงทำงานนั้นด้วยใจบริสุทธิ์ยุติธรรมสม่ำเสมอ  อย่าทำอะไรด้วยความลำเอียง  เพราะรัก  เพราะชัง  เพราะกลัว  เพราะหลง  อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว  อย่าเอาตำแหน่งหน้าที่ไปหาผลประโยชน์เข้าข้างตัว  อย่าเอาความรู้ความสามารถไปหาผลประโยชน์แต่เฉพาะตัว  พระพุทธเจ้าทรงติไว้ว่า "อัตตัตถะปัญญา  อะสุจีมนุสสา" บุคคลใดใช้สติปัญญา ความสามารถเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว  เป็นคนสกปรก  เป็นคนใช้ไม่ได้  เราอย่าอยู่อย่างคนสกปรก  ให้อยู่อย่างคนสะอาด ปราศจากสิ่งชั่วร้าย จึงจะเป็นการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางพระพุทธศาสนา  อันนี้เรียกว่า รักชาติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม  ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
    
   ใครที่รักชาติเพื่อท้องเพื่อกระเป๋าของตัว  ก็เลิกรักชาติแบบนั้นเสีย   เลิกกอบโกย   จงเริ่มเสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขส่วนรวม  ขอให้มีหลักปรัชญาประจำจิตใจไว้สักหน่อยว่า  คนเราเกิดมามือเปล่า  ตัวเปล่า  ตายไปก็มือเปล่า  ไม่ได้เอาอะไรไป  เราจะโลภโมโทสันอะไรนักหนา
               
         เมื่อเจ้ามา   มีอะไร  มาด้วยเจ้า   
         เจ้าจะเอา  แต่สุข  สนุกไฉน   
         เจ้ามามือเปล่า   เจ้าจะเอา  อะไรไป   
         เจ้าก็ไป  มือเปล่า  เหมือนเจ้ามา
  
    เราควรจะเกิดมาเพื่อเสริม  เพื่อเติม  เพื่อแต่ง  ให้ชาติไทยของเราเจริญก้าวหน้าต่อไปดีกว่าที่จะอยู่ด้วยความมักมากอยากได้   จะเป็นประวัติศาสตร์ในทางร้ายไว้ในบ้านเมืองต่อไป  อันนี้คือการพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง ตนเตือนตน ไม่ได ้ใครจะเตือน   แก้ไขตัวเอง เราก็เอากระจกธรรมะมาส่องดูตัวเราดู  เพื่อให้เห็นว่าเรามีอะไรไม่ดี  ไม่เหมาะไม่ควร  จะได้แก้ไขปรับปรุง กระทำให้มันดีมันงามขึ้น การใช้ธรรมะเป็นหลักปฏิบัติในความเป็นไทย เป็นหน้าที่ของคนไทย คนไทยไม่มีหน้าที่จะเป็นทาสของใคร ๆ  เพราะความเป็นทาส  มันขัดกับหลักของความเป็นไทย  เราเป็นคนไทย  ก็ต้องมีหน้าที่แทนคุณแผ่นดิน  ต้องทำตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนไทย”   คนไทย รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน เป็นปึกแผ่นมั่นคงมาได้ ด้วยสติปัญญาความสามารถ และด้วยคุณความดี อิสรภาพ เสรีภาพ ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนความเจริญ ทุกอย่างที่มีอยู่  บัดนี้เราทั้งหลายในปัจจุบัน  ต้องถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบอย่างสำคัญ ในอันที่จะรักษาคุณความดี พร้อมทั้งจิตใจที่เป็นไทยไว้ให้มั่นคงตลอดไป 
  
         บรรพบุรุษ  ของไทย  แต่โบราณ 
         ปกบ้าน  ป้องเมือง  คุ้มเหย้า 
         เสียเลือด  เสียเนื้อ  มิใช่เบา 
         หน้าที่เรา  รักษา  สืบไป
    
     ฉะนั้นเราเป็นคนไทย  เราต้องรักเมืองไทย  รักชาติ  รักศาสนา ...รักพระมหากษัตริย์
                                          
      พี่น้องไทย ... ประเทศไทยกว่าจะเป็นขวานทองในวันนี้  บรรพบุรุษของเราต้องเสียเลือด เสียเนื้อมาเท่าไหร่  เสียแผ่นดินมาเท่าใด  ลองคลิกชมดู
 

http://www.watpakhaochonglom.com





บัวบก

ตอบกระทู้เมื่อ
05 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 1
เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพที่จะทำให้เมืองไทยของเรากลับมาน่าอยู่เหมือนเดิม ลดรอยแยก ความแตกร้าว ทางความคิดจารีตประเพณี อันดีงาม การเมือง ฯลฯ ระหว่างผู้สูงวัย และวัยรุ่นยุคใหม่ เราโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศุนย์รวมจิตใจ มีพระพุทธศาสนา เป็นแนวทางในการปฏิบัติ จึงเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนเพียงแค่ปรับเปลี่ยนแนวคิด และพฤติกรรม ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ในอดีตมีวัฒนธรรมและจารีตประเพณีอันดีงาม อย่าลืมรากเหง้าและความดีงามของเรา


เจ_เจ

ตอบกระทู้เมื่อ
05 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 2
ขอน้อมนำพระราชดำรัส ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั้นคือคนไทยทั้งปวง"
 
อย่ามัวแต่มาถามอยู่เลยว่า "คนไทย" ต้องทำอะไรให้ประเทศไทย
ควรจะมองตัวเองมากกว่า ว่า "เราได้ให้อะไรแก่ประเทศหรือยัง"


Mayjung

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 3

ปัญหาที่ทำให้คนไทยไร้น้ำใจต่อกัน มาจากเงิน ทุกวันนี้เราจะเห็นแก่เงินกันมากขึ้น ไม่ใช่เพราะทุกคนต้องการเงินกันอย่างเดียวหรอกแต่ทุกอย่างมันบีบบังคับให้เราต้องหาเงินกันมากขึ้น ในชีวิตของเราลืมตาขึ้นมาก็ใช้เงิน และวิธีที่จะได้เงินมาก็ต้องหาต้องแข่งกัน ทุกคนต้องแย่งกันหาเงินจากกระเป๋าคนอื่นมาเข้ากระเป๋าตนเองให้ได้มากที่สุด ทุกคนมีภาระมีค่าใช้จ่าย ต่างต้องดิ้นรนหาทางหาเงิน มองหาปัจจัยรอบด้านหาความสุขจากรอบด้านที่มีมานำเสนอเพื่อให้เราอยากได้ ความสุขที่แท้จริงคือ การหยุดไขว่คว้าในสิ่งที่มันเกินความพอดีของเราทุกๆคน รู้จักการเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ และที่สำคัญควรรู้จักพึ่งพาตนเองให้มากๆ อย่าหวังแต่จะพึ่งพาคนอื่น ควรพัฒนาคนในชาติ พัฒนาความสามารถให้ถึงที่สุด และพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง เพื่อที่เราจะได้เลิกหาเงินไปซื้ออะไรของคนอื่น



บ่าวรัฐ

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 4
 
หลังจากกระบี่เอฟซีเปิดบ้านเอาชนะตราดเอฟซี 3 - 2ในนัดดังกล่าว จอห์น แมรี่ กองหน้าตัวเก่งของ “อินทรีอันดามัน” กระบี่เอฟซี ยอดทีมจากดิวิชัน 1 ไทยลีก เป็นผู้เล่นต่างชาติเพียงคนเดียวที่ร่วมร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี โดยอ่านเนื้อร้องตามกระดาษที่จดไว้ สร้างความประทับใจกับแฟนบอลมากมาย ทั้งนี้อุทัยทิพย์ บุญญาคุนานนท์ ภรรยาสาวของนักเตะคนดังกล่าวเผยกับผู้สื่อข่าวไทยลีกออนไลน์ว่า ตนเป็นคนสอนให้ดาวยิงคนนี้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี
      
        "เขาต้องการจะร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนเกมจะเริ่มร่วมกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ฉันได้จดเนื้อเพลงเป็นภาษาคาราโอเกะให้กับเขาเพื่อหัดร้อง วันที่แข่งกับตราดนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาร้องในสนาม แต่ต้องนำเนื้อเพลงลงไปในสนามด้วยเพราะยังจำเนื้อไม่ได้ ฉันเชื่อว่าถ้าจอห์นหัดร้องอีกนิดจะร้องได้แบบไม่มีเนื้อเพลงแน่นอน นอกจากนี้ฉันยังได้สอนให้จอห์นร้องเพลงชาติไทยด้วย เพราะเขาเคยบอกฉันว่า เขารักเมืองไทยและรักในหลวงของประเทศไทย"


คลื่นใต้น้ำ

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 5

เมื่อก่อนเมืองไทยเป็นเมืองน่าอยู่เพราะอะไร เพราะคนไทยช่วยกันปกป้องบ้านเมืองของตนเอง ช่วยกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติ คนเฒ่า คนแก่ สมัยก่อนรักบ้านเกิดของตนเอง ห่วงแหนความเป็นพื้นบ้านของตน เพราะเพื่อให้คนรุ่นลูก รุ่นหลาน ได้ซึมซับความน่าอยู่ของเมืองไทย ตราบถึงปัจจุบันเมืองไทยยังคงความน่าอยู่ ถึงแม้โครงสร้างของบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรความมีน้ำใจของคนไทยก็ยังมีติดตัวให้ได้เห็น และได้แสดงความมีน้ำใจต่อกัน คนไทยจะอยู่ร่วมกันได้โดยการสามัคคีกัน เหมือนดั่งการกอบกู้เอกราชในแต่ละแผ่นดินประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ต้องการความสามัคคีของคนในชาติ แม้แต่ชีวิตก็ยอมสละได้



K.Pim

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 6
"อัตตัตถะปัญญา  อะสุจีมนุสสา" บุคคลใดใช้สติปัญญา ความสามารถเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว  เป็นคนสกปรก 


kobkaew

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 7

ต้องเริ่มที่ตัวเราค่ะ ในสังคมที่เราอยู่ร่วมกัน  , คนในครอบครัว , ในที่ทำงาน ,  เริ่มตั้งแต่ หยุดความเห็นแก่ตัว - เห็นแก่ได้ รู้จักให้อภัยคนอื่นในทุกๆ อย่าง ไม่ว่าคนอื่นเค้าจะทำให้เราเกิดความโกรธแค้น ด้วยความตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม ให้คิดว่า คนทุกคนที่เราเจอ เค้าเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกับเราทุกคน เราก็จะไม่โกรธ ไม่แค้น ให้อภัยเค้าเหล่านั้นได้ แล้วหัดที่จะรักคนอื่น ให้เหมือนรักคนในครอบครัวเรา และนอกจากเราจะให้อภัยคนที่ทำให้เราโกรธได้แล้ว เราต้องไม่ลืมความมีน้ำใจ เป็นห่วงเป็นใย ตามวิถีชีวิตคนไทยนะคะ



na_na

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 8
เรายังไม่เคยเจอซึนามิแบบญี่ปุ่น ยังไม่เจอ ฮอร์ริเคนแบบสหรัฐ ไม่เจอน้ำท่วมแบบจีน แผ่นดินไหว แบบเฮติ สงครามกลางเมืองแบบลิเบีย ภัยแล้งและขาดแคลนอาหารอย่างเอธิโอเปีย...อยู่เมืองไทย...คุณโชคดีมากแค่ไหน ที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงรักประชากรของพระองค์มาก.คุณจะอยู่อย่างมีความสุขได้ ถ้าคุณภูมิใจในความเป็นคนไทย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นคนดีของสังคม รัก และดูแลครอบครัวเมืองไทยน่าอยู่ที่สุดแล้วเชื่อเหอะ


C.Nampai

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 9

เห็นด้วยมั้ย ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ในอดีตมีวัฒนธรรมและจารีตประเพณีอันดีงาม เนื่องจากเรามัวไปลอกเลียนแบบวัฒนธรรมของชาติอื่น จนลืมรากเหง้าและความดีงามของเราคือ ความมีน้ำใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้อภัย และรักสงบ จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพที่จะทำให้เมืองไทยของเรากลับมาน่าอยู่เหมือนเดิม ลดรอยแยก ความแตกร้าว ทางความคิดจารีตประเพณี อันดีงาม การเมือง ฯลฯ ระหว่างผู้สูงวัย และวัยรุ่นยุคใหม่ เราโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศุนย์รวมจิตใจ มีพระพุทธศาสนา เป็นแนวทางในการปฏิบัติ จึงเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนเพียงแค่ปรับเปลี่ยนแนวคิด และพฤติกรรม "คนไทยใต้ธงไทย" เท่านั้นที่ทำให้เมืองไทยน่าอยู่ สงบ และสวยงาม



K.Chang

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 10

ตราบใดที่คนในสังคมเห็นเงินสำคัญที่สุด จริยธรรมถูกปล่อยปละละเลย อีกทั้งคนส่วนหนึ่งเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าจะปกป้องคุณธรรมสังคมก็จะเสื่อมลงๆๆ จนล่มสลายไปในที่สุด สร้างภูมิคุ้มกันตัวเองและคนรอบข้าง ไม่สร้างเรื่องให้แผ่นดินเดือด น่าจะดีที่สุดแล้ว ณ วันนี้ รอให้เวลาจัดสรรทุกอย่างให้ลงตัว คิดสร้างสรรสิ่งดีดี ไม่แตกสามัคคีกันในสังคมเล็ก ทำได้ทุกกลุ่ม ทุกสังคมก็ดีเกินพอแล้ว อย่าลืมเด็ดขาดว่าสังคมดีเริ่มที่ครอบครัวนะพี่น้อง-กย.15




คลื่นใต้น้ำ

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 11
ทำไงได้ ในเมื่อยอมรับกันว่านักการเมืองเป็นคนของประชาชนกันเสียแล้ว ที่จริงความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา การแบ่งแยกชนชั้น ก็เป็นสาเหตุใหญ่ของความแปลกแยก หดหู่กับความไม่รู้จักพอของคน คน คน 



เรือกระดาษ

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 12
ความขัดแย้งในบ้านเราเป็นขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนมากว่า ยังไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงอย่างไร แต่ที่แน่ๆก็คือ ผลกระทบของมันมีความรุนแรงมากหลายอย่าง  ทั้งผลที่เกิดขึ้นแล้ว และผลที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นในระยะต่อๆ ไปก็คือ ความเชื่อมั่นของคนไทย สังคมโลกต่อประเทศไทย ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คงถูกกระทบอย่างรุนแรง จนเป็นไปได้ถึงการเปลี่ยนครั้งใหญ่


k.juy

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 13
เรารู้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีเจตนารมณ์ทำให้การเมืองเป็นของพลเมืองด้วยการขยายสิทธิ เสรีภาพ และส่วนร่วมทางการเมืองให้มากขึ้น พยายามทำให้ระบอบการเมืองโปร่งใสและสุจริตด้วยการเพิ่มองค์กรตรวจสอบมากขึ้น มีกระบวนการตรวจสอบหลายชั้น รวมทั้งการทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพแต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ไม่ได้ปรับความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกและซ่อนอยู่อย่างจริงจัง โดยเฉพาะความขัดแย้งที่เกิดมาจากการจัดสรรทรัพยากรของรัฐไทย ซึ่งเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ตรงกันข้าม กลับทำให้พรรคการเมืองต่างๆ มุ่งแสวงหาประโยชน์จากข้อได้เปรียบในที่อยู่ในตัวรัฐธรรมนูญเอง ในขณะที่ข้อบกพร่องที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญเป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้งที่รอเวลาปะทุ คนไทยยอมรับกันได้ไหมถ้าเราจะอยู่กันภายใต้การเมืองแบบกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตยแบบถาวร อยู่บนโครงสร้างตวามเหลื่อมล้ำของชนชั้นที่ช่องว่างมันห่างออกๆ ทุกคืบศอกแล้ว


Mayjung

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 14
"คนชั่วชนะเพราะคนดีนิ่งดูดาย"
เหอะๆ แค่จะทำความดียังต้องใส่หน้ากากเลย
กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี แต่กรุงเทพฯนักการเมืองชั่วท่วมแผ่นดิน
ไหนจะต้องป้องกันน้ำท่วมเมือง น้ำท่วมปาก  
เฉพาะน้ำเน่าก็ท่วมจอแล้ว
คนดีรู้ว่าจะต้องทำอะไร แต่ไม่มีทีมที่จริงใจมันก็ไปไม่รอด
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


k.Taew

ตอบกระทู้เมื่อ
06 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 15



สสกร

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 16


witjung

ตอบกระทู้เมื่อ
23 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 17

ก้าวข้ามความขัดแย้ง...เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย : ภูมิธรรม เวชยชัย


ความคิดริเริ่มเวทีปฏิรูปการเมืองอาจเป็นเรื่องที่หลายคนตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาล ว่าต้องการที่จะปฏิรูปประเทศไทยจริงๆ หรือเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง  ปัญหาความขัดแย้งที่มีในสังคมไทยตั้งแต่มีการทำรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 มาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้ เพราะต่างฝ่ายต่างยืนหลังพิงอยู่กับความเชื่อของตนเอง  ก่อร่างความขัดแย้งที่ลงรากฝังลึกในสังคม หากถามว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดอย่างไรกับประเด็นนี้ ผลโพลเกือบทุกสำนักระบุว่า  ประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง   ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับความขัดแย้งที่มีอยู่  ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้า ทั้งนี้การที่ประเทศจะก้าวไปข้างหน้าได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกส่วนของสังคมไทยต้องพยายามร่วมกันหาทางออกในการก้าวข้ามความขัดแย้ง แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลก่อน ๆ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่นอกวงคู่ขัดแย้ง และในการดำเนินกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลประเด็นปัญหา รวมทั้งข้อเสนอต่าง ๆ  ก็ยังไม่สามารถดำเนินการให้นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งในสังคมลงไปได้    ในครั้งนี้ กระบวนการจะแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือ รัฐบาลเป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเวทีพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยเชิญกลุ่มที่เป็นทั้งคู่ขัดแย้ง  กลุ่มผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และ กลุ่มที่เป็นกลาง มาร่วมหารือแสวงหาข้อยุติในความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และสร้างบรรยากาศแห่งความไว้ใจกัน ในอันที่จะหาลู่ทางการเปิดพื้นที่ให้ทุกกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันเข้ามามีส่วนร่วม อาทิ ตัวแทนพรรคการเมือง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  กลุ่ม นปช.  กลุ่ม สว. อดีตนายกรัฐมนตรี  อดีตประธานสภาฯ  ประธานกลุ่มสถาบัน องค์กร ต่าง ๆ  เป็นต้น   ทั้งนี้โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานการคิดที่สำคัญ  3  ประการ คือ

1. ความขัดแย้งในสังคมยุคเรา ควรสิ้นสุด และยุติในคนรุ่นเรา  ไม่ควรปล่อยให้ความขัดแย้งสั่งสม บานปลาย และกลายเป็นมรดกบาป ที่ตกทอดเป็นภาระ ให้แก่ลูกหลาน คนรุ่นหลัง
2. ข้อขัดแย้งในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ยากที่จะหาข้อยุติ  เนื่องจากปัญหาสำคัญคือ โครงสร้างทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  ยังไม่สามารถดึงการมีส่วนร่วมของคนทุกฝ่ายในสังคมให้เข้ามาช่วยกันดูแล ช่วยเหลือประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ดังนั้น หนทางการแก้ไขปัญหาที่สำคัญ คือ “การมุ่งสร้างระบอบประชาธิปไตย แบบมีส่วนร่วม” ซึ่งจะเป็นวิถีทางที่นำไปสู่การปรับโครงสร้างทางการเมืองใหม่ ให้ทุกคน ทุกภาคส่วนมีโอกาส และสามารถเข้าร่วมในการกำหนดทิศทางและอนาคตของประเทศร่วมกัน
ทั้งนี้เพราะประเทศเป็นของทุกคน มิใช่เป็นของเฉพาะผู้ประสบชัยชนะทางการเมือง จากการเลือกตั้ง เท่านั้น  การสร้างเวทีการระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องและ ผู้มีบทบาทสำคัญจากทุกภาคส่วน
ที่ห่วงใยต่อปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในช่วงที่ผ่านมา จึงน่าจะเป็นบันไดขั้นแรกในการร่วมมือกัน ออกแบบประชาธิปไตยของประเทศไทยที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย และเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ

3. เวทีครั้งนี้จะไม่พูดคุยขุดคุ้ยเรื่องในอดีต เพราะนั่นจะยิ่งขยายความขัดแย้งให้ร้าวลึกและบานปลาย หากแต่จะหารือถึงการสร้างอนาคตของประเทศร่วมกัน เพื่อส่งมอบประเทศชาติที่มั่นคง แข็งแรงให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
ดังนั้น การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเสนอให้มีการพูดคุยหารือกันในครั้งนี้ เป็นความพยายามที่ต้องการหาทางออกให้ประเทศ ทั้งที่ทราบดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายในการจะแก้ไขความขัดแย้งที่บานปลายและบาดลึกมาจนถึงขนาดนี้ ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าแม้สำเร็จเพียง 1% เราก็ต้องทำ เพื่อจะเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวไปสู่ความสำเร็จในการคลี่คลายปมปัญหา และ หากในอนาคตเมื่อมองย้อนกลับมาจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจเพราะเราได้พยายามทำอย่างเต็มที่และดีที่สุดแล้ว 
เวทีการหารือเพื่อหาทางออกให้ประเทศไทยครั้งนี้ มุ่งหวังว่าจะสามารถ ดึงพลังที่มีอยู่จากทุกภาคส่วนในสังคมไทย เข้ามาช่วยกันคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการคิดเอาชนะคะคานกันว่าความคิดใครถูก ความคิดใครผิด เพื่อนำพาประเทศไทย ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า อย่างเข้มแข็ง และเจริญรุ่งเรือง  ไม่ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าที่นำไปสู่สถานการณ์ความรุนแรงเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา

ที่มา : มติชนออนไลน์



KET

ตอบกระทู้เมื่อ
23 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 18

 "ป๋าเปรม" วอนคนไทยรัก-สามัคคีกัน

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นประธานต้อนรับเยาวชนที่นับถือศาสนาอิสลามทั่วประเทศ จำนวนกว่า 100 คน ที่เดินทางมาเข้าร่วมโครงการ "เยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน" รุ่นที่ 2 โดย พล.อ.เปรม กล่าวกับเยาวชนที่มาร่วมโครงการว่า เยาวชนคนไทยทุกคน ทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ และนับถือศาสนาอิสลาม ล้วนเป็นเจ้าของประเทศไทยเหมือนกับคนไทยทุกคน ซึ่งมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน และได้รับความเป็นธรรมเท่ากัน ดังนั้น ทุกคนจะต้องสำนึกในความเป็นคนไทย ที่มีหน้าที่ตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง มีหน้าที่รักษาปกป้องประเทศไทย
        จากนั้น พล.อ.เปรม กล่าวถึงกรณีที่จะครบรอบวันคล้ายวันเกิด 94 ปี ในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ ว่า อยากได้ความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ และอยากให้คนไทยกลับมารักกันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องการปฏิรูปเวทีการเมืองของรัฐบาลนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด และหากได้รับเชิญ ยังตอบไม่ได้ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่
        ทั้งนี้ วันครบรอบวันคล้ายวันเกิดนั้น ไม่ได้เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้เข้าร่วมอวยพรเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองยังมีความขัดแย้งกันอยู่ และจะเปิดให้เพียงผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าอวยพรวันเกิดเป็นภายใน โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด

http://www.manager.co.th
 



หนอนไซเบอร์

ตอบกระทู้เมื่อ
28 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 19

ประเทศไทยจะอยู่รอดหรือไม่ ลองมาอ่านความคิดเห็นของศ.นพ.ประเวศ วะสี กับทางรอดของประเทศไทย

วันที่ 12 กันยายน 2552

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ปาฐกถาในการประชุมวิชาการเรื่อง “ทางรอดของประเทศไทย” ครั้งที่ 1 จัดโดยสถาบันพระปกเกล้าร่วมกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและภาคี มีรายละเอียดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ "การปฏิรูปประเทศไทย กลไกเพื่อความอยู่รอด"

ที่ต้องมาพูดกันถึงทางรอดของประเทศ ก็เพราะมีความรู้สึกกันทั่วๆ ไปว่า ประเทศไทย วิกฤติสุดๆ สุดปัญญาที่จะแก?ไข เมื่อสุดทางไปแล้วก็จะเกิดความรุนแรงขนานใหญ่ จนอาจเป็นมิคสัญญีกลียุค จนผู้คนล้มตายจํานวนมากถึงขนาดแล้วจึงเกิดปัญญาร่วมตกลงกันได้ว่าเราจะไปสู่จุดลงตัวใหม่ได้อย่างไร นั่นเป็นฉากทัศน์หนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้น แต่เราก็อยากเห็นฉากอื่นที่ดีกว่านั้น จึงมาพูดกันในวันนี้เรื่องทางรอดของประเทศ การจะเห็นทางรอดก็จะควรทําความเข้าใจว่าวิกฤติอะไร และสาเหตุจากอะไร

ผมเรียกวิกฤตการณ์ปัจจุบันว่า "วิกฤตการณ์คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์" มา 10 กว่าปี เป็นวิกฤตการณ์ที่รุนแรงที่สุดและแก?ไขยากที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าศัตรูคือใคร เพราะความซับซ้อนของมัน สังคมปัจจุบันเชื่อมโยงซับซ้อน เข้าใจได้ยากแก?ไขได้ยากแม้อาการมันจะออกมาว่าเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติสังคม วิกฤติสิ่งแวดล้อม วิกฤติการเมือง แต่ลึกๆ แล้วเป็นวิกฤติแห่งความซับซ้อน ที่สังคมไทยไม่มีปัญญาพอที่จะเข้าใจและเผชิญกับมันได้ ปัญหาที่ยากและซับซ้อน ใช้อํานาจแก้ไม่ได้ ต้องใช้ปัญญา เมื่อยังพยายาม แก้ด้วยอํานาจ นอกจากแก้ไม่ได้แล้วอํานาจมันยังปะทะกันเกิดความรุนแรง

เมื่อสุดทางไปก็จะเกิดมิคสัญญีกลียุค หรือปฏิรูปใหญ่วิกฤติใหญ่ประเทศไทยขณะนี้ไม่มีองค์กรหรือสถาบันใดจะถอดวิกฤติได้ เพราะความยากสลับซับซ้อน และการติดอยู่ในหลุมดําทางปัญญาดังกล่าวแล้วสภาพวิกฤติขณะนี้จึงดูเสมือนสุดทางไป เมื่อสุดทางไป (แบบเดิม) ก็จะมีการผุดบังเกิดของปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ หนึ่ง เกิดมิคสัญญีกลียุค ฆ่าฟันกันล้มตายกันยกใหญ่จนคนตายมากพอที่สังคมจะเกิด "จิตสํานึกใหม่" หรือ สอง สังคมเกิดจิตสํานึกใหม่ โดยไม่ต้องผ่านมิคสัญญีกลียุค แล้วปฏิรูปตัวเอง

การปฏิรูปเป็นกลไกตามธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดถ้าเราดูธรรมชาติของจุลชีพมันต้องใช้การ "ปฏิรูป" เพื่อความอยู่รอด อาทิเช่น เวลามันเผชิญสภาวะวิกฤติของมัน มันจะปฏิรูปดีเอ็นเอ หรืออาร์เอ็นเอ ที่เรียกว่ากลายพันธุ์ เพื่อความอยู่รอดของมัน

ดังนั้น การปฏิรูปประเทศไทย 10 เรื่องเชื่อมโยงกันการจะออกจากโครงสร้างวิกฤตการณ์ อันหนาแน่น จะทําเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเชื่อมโยงกัน จึงต้องปฏิรูปแบบยกเครื่อง (Overhaul) คือ ทําทั้งหมดอย่างเชื่อมโยงกันอย่างน้อย 10 เรื่องคือ 1.สร้างจิตสํานึกใหม่ 2.ระบบเศรษฐกิจใหม่สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ 3.ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น 4.สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤติ 5.ธรรมาภิบาลของการเมืองการปกครองระบบความยุติธรรมสันติภาพ 6.ระบบสวัสดิการสังคมที่ก้าวหน้า 7.ระบบพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่มีดุลยภาพ 8.การปฏิรูประบบสุขภาพเพื่อสุขภาวะของคนทั้งมวล 9.การวิจัยยุทธศาสตร์ชาติ 10.สร้างระบบการสื่อสารที่ผสานการพัฒนาทุกเรื่อง

ถ้าปฏิรูปประเทศไทยทั้ง 10 เรื่อง อย่างเชื่อมโยงกัน ประเทศไทยจะมีพลังออกจากหลุมดําไปสู่จุดลงตัวใหม่ได้ แต่ละเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ๆ และยากที่ต้องการบุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบัน มาร่วมสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนระบบการสื่อสารที่ดี จะเป็นพลังปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะปฏิรูปจิตสํานึก เพื่อเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ดังกล่าวในข้อ 7 ข้างต้น เครื่องมือสื่อสารเรามีมาก แต่ปัญญาที่จะใช้ประโยชน์มีน้อย ถ้ารัฐบาลฉลาดจะต้องมียุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดี ที่เครื่องมือการสื่อสารทุกประเภททั้งของรัฐและเอกชนได้รับการนํามาใช้เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ภาคธุรกิจมีเครื่องมือและช่องทางการสื่อสารมหาศาล หากภาคธุรกิจเกิดจิตสํานึกใหม่ ประเทศไทยจะอยู่รอดได้อย่างสบาย องค์กรวิชาชีพสื่อควรช่วยกันผลักดันให้มีการใช้ยุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดีเป็นเครื่องมือปฏิรูปประเทศ

นอกจากนี้ ทางรอดประเทศไทย คือ INN หรือ โครงสร้างใหม่ที่คนไทยจะทํางานร่วมกัน มายาคติอย่างหนึ่งที่ทําให้ประเทศไทยไม่มีพลังคือ การยึดติดเฉพาะ “ความเป็นทางการ” คือ แท่งอํานาจทางราชการ แท่งอํานาจใช้อํานาจมากกว่าปัญญา จึงไม่มีพลังในการแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน รัฐบาลใช้กลไกที่เป็นทางการเท่านั้น จึงไม่มีรัฐบาลใดแก้ปัญหาของประเทศได้ โครงสร้างการทํางานใหม่ คือ INN

I = Individual หรือปัจเจกบุคคลที่มีจิตสํานึกในศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของตนแล้วลงมือทําอะไรดีๆ

N = Nodes หรือการรวมกลุ่มกัน สี่ซ้าห้าคนหรือหกเจ็ดคน มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน รวมตัวกันทําเรื่องดีๆ ที่กลุ่มสนใจ มีกลุ่มที่หลากหลายเต็มประเทศ

N = Networks หรือเครือข่ายเชื่อมโยงกันระหว่างบุคคลและเครือข่าย

โครงสร้าง INN นี้ คนทุกคนจะมีความหมาย มีความเสมอภาคไม่มีใครมีอํานาจเหนือใคร มีภราดรภาพ จึงให้ความสุขอย่างยิ่ง และมีพลังของความสําเร็จสูง ทั้งนี้โดยไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อคนในโครงสร้างทางดิ่ง เพราะสามารถเชื่อมโยงกันได้และทําให้โครงสร้างที่เป็นการทํางานได้ดีขึ้น

INN เป็นโครงสร้างที่คนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกองค์กร ทุกสถาบัน จะร่วมปฏิรูปประเทศไทย ทั้งที่แยกกันทํา และเชื่อมโยงกันทําให้เต็มประเทศ ก็จะสามารถทําเรื่องยากๆ อาทิเช่น การปฏิรูปประเทศไทยได้

นอกจากนี้ เรื่องเฉพาะหน้าคือการป้องกันความรุนแรง โดยการปฏิรูปประเทศ นั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นเรื่องเฉพาะหน้าคือต้องป้องกันความรุนแรงไว้ก่อนเพื่อให้เวลาประเทศไทย จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนทุกฝ่ายที่จะต้องป้องกันความรุนแรงทุกวิถีทาง วิธีหนึ่งคือการสร้างกรอบ กติกา และกลไก ที่สังคมจะเข้ามามีส่วนในการควบคุมไม่ว่าชาติใดๆ จะเป็นอย่างไร ก็สามารถไปเล่นฟุตบอลกันได้ทั่วโลก ในการเล่นฟุตบอลมีกรอบกติกา และกลไกที่ชัดเจน กรอบคือสนามว่าเราจะเล่นกันเฉพาะในสนามนี้เท่านั้นไม่เล่นนอกกรอบ กติกา อาทิเช่น จะไม่ชกกัน ไม่ด่ากัน ไม่ถ่มน้ำลายรดกัน ฯลฯ กลไกก็คือมีกรรมการและผู้กํากับเส้น กรรมการและผู้กํากับเส้นอาจโกงได้ แต่ทําไม่ได้เพราะมีคนดูทั้งสนามและที่บ้านที่รู้กรอบกติกา และกลไก คอยกํากับอีกทีหนึ่ง

โดยสรุปทางรอดของประเทศ คือ การป้องกันความรุนแรงและการปฏิรูปประเทศไทยโดยคนทั้งมวลอันที่จริงประเทศไทยมีทุนหรือทรัพยากรต่างๆ อย่างมหาศาล มากเกินพอที่จะสร้างสุขภาวะสําหรับคนทั้งมวล เราสามารถสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกได้คงไม่มีรัฐบาลใดที่สามารถทําได้ แต่คนไทยทั้งมวลร่วมกันสามารถสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกได้

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



หนอนไซเบอร์

ตอบกระทู้เมื่อ
28 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 20

'ประเวศ'สอนรัฐ'ปฏิรูปการเมือง'ที่ถูกต้อง

ท่ามกลางกระแสคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และความพยายามในการเสนอให้มีการปฏิรูปการเมือง ล่าสุด ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้เขียนบทความ "การออกแบบปฏิรูปการเมืองให้ได้ผลจริง" เนื้องหาดังนี้

ประเทศไทยมีการปฏิรูปการเมืองมาหลายครั้งแล้ว ก็ต้องถือว่ายังไม่ได้ผลจริง ดังที่มีรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง ๑๘ ฉบับ และยังเกิดวิกฤตการเมืองปริ่มๆจะฆ่ากันตายอยู่ในทุกวันนี้ หากจะมีการปฏิรูปการเมืองกันอีกและต้องการให้ได้ผลจริง ควรจะศึกษาบทเรียนจากอดีตแล้วมีหลักการ กลไกและกระบวนการที่ถูกต้อง ขอเสนอแนะดังต่อไปนี้

๑.หลักการ

(๑) ต้องแยกเรื่องการปรองดองและการปฏิรูปการเมืองเป็นคนละเรื่อง การปรองดองเป็นเรื่องแก้ไขอดีต การปฏิรูปการเมืองเป็นเรื่องของการสร้างอนาคต การแก้ปัญหาของอดีตทำได้ยากและบางทียิ่งทำยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้น เพราะปัญหามีรากยาวไกลและมีบุคคลเกี่ยวพันอยู่ การร่วมกันทำสิ่งที่ดีต่อไปในอนาคตง่ายกว่ามาก และในที่สุดจะสร้างความเชื่อถือไว้วางใจกัน ฉะนั้นในช่วงนี้อย่าเอาเรื่องการปรองดองกับการปฏิรูปการเมืองมาปนกัน จะทำให้สับสนและเคลื่อนไปสู่อนาคตไม่ได้

(๒) ต้องไม่มุ่งปฏิรูปองค์กรทางการเมืองเท่านั้น เพราะจะคับแคบและไม่ได้ผลเช่นเคย แต่ต้องมีเป้าหมายใหญ่ในการสร้างประเทศไทยที่ดีงามหรือประเทศไทยน่าอยู่

(๓) ต้องไม่ใช่คิดกันอยู่ในวงเล็กๆเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะคิดออกมาได้ดีแค่ไหนก็ปฏิบัติไม่ได้ ถึงเขียนรัฐธรรมนูญให้ดีอย่างใดก็ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมโดยกว้างขวาง เพราะฉะนั้นถ้าจะมีการปฏิรูปการเมืองกันอีก ต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วมโดยกว้างขวางทั่วประเทศ เป็นโอกาสที่จะยกระดับจิตสำนึกความเป็นพลเมือง ต่อเมื่อประชาชนมีจิตสำนึกแห่งความเป็นพลเมือง และเป็นพลเมืองที่กัมมันตะ(active citizen) เท่านั้น การเมืองจึงจะดีขึ้นได้

๒.กลไกการปฏิรูปการเมือง

ควรมีกลไก ๓ ประเภท ทำงานร่วมกันคือ

(๑) คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง ประกอบด้วย ๔ ภาคใหญ่ๆคือ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ส่วนจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ร่วมเป็นกรรมการหรือเป็นที่ปรึกษาก็สามารถจัดได้ให้งามและเหมาะสม

(๒) คณะกรรมการเครือข่ายประชาชนปฏิรูปการเมือง ขณะนี้ประชาชนมีประสบการณ์และมีความตื่นตัวสูงในการจัดการตนเองและในการขับเคลื่อนนโยบาย จากการทำงานของนักพัฒนาเอกชนที่ผ่านมาจากการเข้าร่วมในกระบวนการสมัชชาสุขภาพและสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย ในกระบวนการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้ควรส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวร่วมคิดร่วมทำทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ให้ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของและเป็นผู้ปฏิรูปการเมือง เครือข่ายประชาชนปฏิรูปการเมืองนี้ ควรเกิดขึ้นโดยก่อตัวขึ้นเอง(self-organization) ตามพื้นที่ ตามกลุ่มอาชีพ ตามประเด็น ไม่ควรมีใครไปแต่งตั้ง แต่ควรมีกลไกส่งเสริมที่อาจเรียกว่าคณะกรรมการเครือข่ายประชาชนปฏิรูปการเมืองเป็นคณะกรรมการอิสระ

(๓) สภาปฏิรูปการเมือง คือการประชุมการปฏิรูปการเมือง อาจเป็นสภาปฏิรูปการเมืองระดับพื้นที่ สภาปฏิรูปการเมืองเฉพาะประเด็นหรือสภาปฏิรูปการเมืองระดับชาติ

ทั้ง ๓ กลไกนี้ทำงานเชื่อมโยงกันในกระบวนการปฏิรูปการเมือง ควรออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีสร้างกลไกทั้ง ๓ นี้ให้สามารถทำงานต่อเนื่องข้ามรัฐบาลควรสังเกตว่ากลไกการปฏิรูปการเมืองที่ออกแบบไว้นี้เป็นหลักการ “ประชา-รัฐ” คือประชาชนกับรัฐร่วมกัน

๓. กระบวนการปฏิรูปการเมือง - คำถามใหญ่ ๓ คำถาม

กระบวนการพูดคุยเรื่องปฏิรูปการเมืองทั่วประเทศ ควรจะพยายามตอบคำถามใหญ่ ๓ คำถาม คือ

(๑) ประเทศไทยที่ดีที่สุดในจินตนาการของท่านคืออย่างไร ให้คนไทยจำนวนมากที่สุดจะมากได้ มีจินตนาการถึงประเทศไทยที่ดีที่สุดว่าเป็นอย่างไร มีการสังเคราะห์ภาพประเทศไทยที่ดีที่สุดในจินตนาการของคนไทย แล้วเผยแพร่ให้ทราบทั่วกัน อาจใช้ศิลปะทุกแขนงแสดงภาพประเทศไทยที่ดีที่สุดในจินตนาการของคนไทย ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ภาพประเทศไทยที่ดีที่สุดในจินตนาการของคนไทย อาจถือว่าเป็น “อุดมทรรศน์ประเทศไทย” หรือ “เป้าหมายประเทศไทย” ที่คนไทยทุกคนร่วมสร้าง ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง กระบวนการจินตนาการและผลลัพธ์ “ประเทศไทยที่ดีที่สุด” จะก่อให้เกิดพลังมหาศาลขึ้นในชาติ ทุกคนจะรู้สึกเป็นเจ้าของและมีพันธะกับเป้าหมายนี้ร่วมกัน

(๒) จะต้องทำอะไรบ้างที่จะบรรลุเป้าหมาย “ประเทศไทยที่ดีที่สุด” ตามที่ร่วมกันสร้างไว้ คำตอบจะมีหลากหลายมาก แต่รวมกันแล้วจะครอบคลุมเรื่องดีๆที่ควรทำหมดทุกเรื่อง คำตอบอาจจะแยกย่อยมากมาย แต่ควรจะมีผู้ที่มีความสามารถในการสังเคราะห์ สังเคราะห์คำตอบเป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มใหญ่ๆ อาจได้ออกมา ๗-๘ เรื่อง
เรื่องใหญ่ๆ ๗-๘ เรื่องที่ได้มาคือเรื่องหลักๆที่ควรปฏิรูป การที่คนทั้งหมดร่วมกันคิดเรื่องหลักที่ควรปฏิรูปขึ้นมา จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและพันธะที่จะทำให้สำเร็จ

(๓) ทำแผนปฏิบัติในแต่ละเรื่องใหญ่ๆที่ควรปฏิรูป จากเรื่องใหญ่ๆที่ควรปฏิรูปที่ได้มาตามข้อ (๒) แต่ละเรื่องนำมาทำแผนปฏิบัติ (plan of action) เนื่องจากแต่ละเรื่องจะมีความต้องการความรู้และความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันจึงควรแบ่งกลุ่มผู้ทำแผนปฏิบัติออกเป็นกลุ่มๆ ตามความสนใจและความเชี่ยวชาญ ในกระบวนการทำแผนปฏิบัตินี้จะต้องการข้อมูล ความรู้ ความสามารถในการวิเคราะห์สังเคราะห์ และความเข้าใจเชิงการจัดการมาก จะเป็นการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (interactive learning through action) ของทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม ทุกคนจะเก่งขึ้นหมด รักกันมาก และถือเป็นพันธะผูกพันที่จะขับเคลื่อนแผนปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จ

๔. การปฏิบัติตามแผนปฏิรูป
เมื่อกระบวนการได้ทำมาครบตามขั้นตอนทั้ง ๓ ที่ทุกฝ่ายร่วมกันตามที่กล่าวถึงในข้อ๓ จะเกิดพลังมหาศาล คือทุกคนจะรักกันมาก เกิดความเชื่อถือไว้วางใจกัน(trust) เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและร่วมกันสร้างสิ่งสำคัญที่สุด ๓ เรื่อง คือ (๑) เป้าหมายของประเทศไทยที่ดีที่สุด (๒) เรื่องใหญ่ๆที่ควรปฏิรูป (๓) แผนปฏิบัติในแต่ละเรื่องในแผนปฏิบัตินั้นจะบอกว่าต้องทำอะไร ทำอย่างไร ใช้เครื่องมือและทรัพยากรเท่าไหร่ ใครทำ ที่ว่าใครทำนั้นก็ทุกคนทุกฝ่าย เช่น เรื่องอะไรเกี่ยวกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีก็รับไปทำ เรื่องอะไรเกี่ยวกับรัฐสภา ประธานรัฐสภาก็รับไปทำ อะไรเกี่ยวกับกระทรวง กระทรวงก็รับไปทำ อะไรเกี่ยวกับองค์กรท้องถิ่นองค์กรท้องถิ่นก็รับไปทำ อะไรเกี่ยวกับภาควิชาการ อะไรเกี่ยวกับภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม ภาคการสื่อสาร ภาคนั้นๆก็รับไปทำ คณะกรรมการปฏิรูปการเมืองมีหน้าที่ติดตาม เร่งรัด ตรวจสอบให้มีการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติปฏิรูปประเทศไทย การปฏิบัติจะมีในหลายมิติ ทั้งที่เกี่ยวกับแก้ไขกฎหมายรวมทั้งรัฐธรรมนูญและที่ไม่เกี่ยว

๕.กระบวนการปฏิรูปการเมืองเป็นกระบวนการต่อเนื่อง
ที่ได้อธิบายกลไกและกระบวนการมาดังกล่าวข้างต้น เป็นการ “ประกอบเครื่องประเทศไทย” ที่ผ่านมาประเทศไทยเปรียบเสมือนประเทศเครื่องหลุดที่ส่วนต่างๆไม่ประกอบเข้ามาด้วยกัน รถยนต์ที่เครื่องหลุดจากกันถึงเร่งเครื่องก็วิ่งไปไม่ได้ ฉันใด ประเทศที่เครื่องหลุด ก็ฉันนั้น การปฏิรูปประเทศไทยที่ออกแบบดังกล่าวข้างต้น เป็นการประกอบส่วนต่างๆของประเทศไทยให้เข้ามาเชื่อมโยงกัน เมื่อประกอบเครื่องประเทศไทยได้ ประเทศก็สามารถวิ่งไปข้างหน้าอย่างเรียบร้อยและดีขึ้นเรื่อยๆ

ในการปฏิรูปประเทศไทยตามที่กล่าวมาข้างต้น ทุกคนทุกฝ่ายมีส่วนร่วมได้หมดและได้ใช้จิตใจสติปัญญาของตนได้อย่างเต็มที่ จะเกิดความปีติสุขที่ได้ทำงานเพื่อประเทศไทยร่วมกัน และจะสามารถฝ่าอุปสรรคที่ยากลำบาก มีความสำเร็จเป็นลำดับๆไปในการสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุดตามจินตนาการของเราร่วมกัน สมควรที่ทุกคนจะยอมเสียสละใดๆเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตประเทศไทย กระบวนการปฏิรูปการเมืองควรจะต่อเนื่องผ่านช่วงหลายรัฐบาลไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของคนไทยทั้งชาติ รัฐบาลเป็นเพียงกลไกอย่างหนึ่ง ถ้าได้ทำตามนี้ต่อไปโมเดลการปฏิรูปของไทยจะเป็นที่เรียนรู้ แม้แต่ของประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งเขากำลังติดขัดและต้องการปฏิรูป แต่ไม่รู้จะปฏิรูปอย่างไร

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved