Neric-Club.Com
  สารบัญเว็บไซต์
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
14024180  

กระดานแสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ    

ADMIN

ตั้งกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  สศร.ถอดรหัส “ดอกบัวบานในธารวรรณกรรม”
 
ปลุกเด็กไทย"รู้-รักชาติ

นายเขมชาติ สศร.ถอดรหัส “ดอกบัวบานในธารวรรณกรรม” เปิดประตูเชื่อมไทย-เวียดนามเด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลง เรื่องจริงในสังคมไทยยุคปัจจุบันที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะทุกวันนี้โลกแห่งเทคโนโลยี ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของเด็กและเยาวชนไทยเกือบทั้งระบบ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่คนในยุคนี้ขาดไม่ได้ เพราะนอกจากใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร สนทนา ใช้หาความบันเทิงแล้ว ยังสามารถใช้ ค้นคว้าหาความรู้ ผ่านบริการสืบค้นทางเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นเสมือนคลังข้อมูล ในโลกอินเตอร์เน็ต แบบที่ว่าง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ จากอดีตการค้นคว้า ต้องศึกษาจากการอ่านตำรา และในหนังสือเรียนผลกระทบความแปรเปลี่ยนในโลกเทคโนโลยีนั้น มิได้มีส่วนทำให้เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลงเท่านั้น แต่ยังส่งผลทำให้เด็กไทยละเลยและไม่ให้ความสำคัญกับภาษา ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงอัตลักษณ์ชาติตามไปด้วย ในทางกลับกัน หลายชาติในโลก ที่ไม่มีภาษาเป็นของตนเอง แต่คนในชาตินั้นๆ ต่างมุ่งที่จะเรียนรู้และใช้ภาษาเป็นหน้าต่างในการแสวงหาความสำเร็จ อีกทั้งยังมีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่สนใจเรียนรู้ภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง ดอกบัวบานในธารวรรณกรรม เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น และบทกวี ที่ผสานความร่วมมือของนักเขียนไทย และเวียดนาม โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จัดทำขึ้น เพื่อใช้งานเขียน เป็นทูตทางสังคมสื่อประสานคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ให้สามารถล่วงรู้ถึงวิธีคิด ความรู้สึกนึกคิด และเข้าถึงจิตใจของกันและกันมากขึ้น ทั้งยังมุ่งหวังใช้วรรณกรรมเป็นตัวเชื่อมร้อยความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำความเข้าใจภาพทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมไทยได้อย่างลึกซึ้ง โดย จัดพิมพ์ขึ้น 3 ภาษา ทั้งไทย เวียดนาม และอังกฤษ ทีมข่าววัฒนธรรมได้ติดตามคณะทำงานของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) นำโดย นายเขมชาติ เทพไชย ผอ.สศร. พร้อมด้วย นายเจน สงสมพันธุ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และ สองศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ นายประภัสสร เสวิกุล และ นายสถาพร ศรีสัจจัง ร่วมงานเปิดตัวหนังสือดอกบัวบานในธารวรรณกรรม ที่สมาคมวรรณกรรมเวียดนาม กรุงฮานอยประเทศเวียดนาม พร้อมแลกเปลี่ยนแนวทางการส่งเสริมงานวรรณกรรมร่วมกับสมาคมนักเขียนเวียดนาม นำมาต่อยอดในการสร้างเยาวชนนักเขียนรุ่นใหม่ สิ่งแรกที่ได้พบเห็นได้อย่างชัดเจน คือ เด็กและเยาวชนในวัยเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษา ไปจนถึงรั้วอุดมศึกษาของเวียดนามให้ความสนใจมาร่วมงานเปิดตัวหนังสือเล่มนี้อย่างคับคั่ง ขณะที่พบว่า ปัจจุบันเด็กเวียดนามสนใจเรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สามจำนวนมากขึ้น รองจากภาษาเวียดนาม และภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ให้เหตุผลตรงกันว่า ภาษาไทยมีเอกลักษณ์ มีการใช้ภาษาที่งดงาม และออกเสียงได้ไพเราะ ยิ่งไปกว่านั้น เด็กเวียดนามจำนวนไม่น้อยใช้การอ่านวรรณกรรม งานเขียน เรื่องสั้น นวนิยาย และบทละคร ในการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อให้เข้าใจการใช้ชีวิตของคนไทยได้เป็นอย่างดี ประเทศเวียดนามให้ความสำคัญทางด้านภาษามาก ตั้งแต่สมัยโบราณที่มีการสอบแข่งขันจอหงวนซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน คนเวียดนามจึงท่องมาก อ่านมาก ผ่านวรรณกรรม บทกวีต่างๆ เพื่อให้เกิดพัฒนาการทางด้านความคิด และสติปัญญาใช้ต่อสู้เพื่อสร้างความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้สั่งสมเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน เด็กและเยาวชนก็ยังให้ความสำคัญในการเรียนรู้ภาษา ให้รู้ชาติกำเนิด ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็สนับสนุนให้ปรับหลักสูตรการเรียนการสอนด้านภาษาและวรรณกรรม ในปี 2556–2563 เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งต่างจากเยาวชนไทยที่มีการเรียนรู้วรรณกรรมของชาติลดลงเรื่อยๆ” นายเขมชาติ ฉายภาพของแนวทางการแลกเปลี่ยนความรู้งานวรรณกรรมร่วมกับประเทศเวียดนาม ผอ.สศร. กล่าวด้วยว่า ประเทศเวียดนาม จะมีการแจกวรรณกรรมเล่มนี้ไปยังสถานศึกษา และเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาศึกษาได้สะดวก สำหรับประเทศไทย สศร. ได้แจกหนังสือไปยังสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศแล้วเช่นกัน และยังมองถึงในอนาคตว่าจะประสานไปยังกระทรวงศึกษาธิการ  หาแนวทางสอดแทรกวรรณกรรมร่วมสมัยเข้าสู่สถานศึกษา รวมทั้งหาทางเปิดโลกวรรณกรรมในระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเข้าถึงการอ่านของเด็กและเยาวชนด้วย ขณะเดียวกันจะต่อยอดโครงการนี้ ด้วยการนำศิลปินของไทยมาสัมผัสวิถีชีวิตและเขียนเรื่องราวที่สนใจในเวียดนาม จากนั้นก็ให้ศิลปินเวียดนาม มาศึกษาวิถีชีวิตคนไทยและเขียนเรื่องราวที่สนใจในประเทศไทย ถ่ายทอดออกมาเป็นงานวรรณกรรมร่วมสมัยต่อไปขณะที่ นายสถาพร ให้ความเห็นว่า งานวรรณกรรมทุกสาขา นับเป็นโปรแกรมเมอร์ทางประวัติศาสตร์ เป็นรากวัฒนธรรม ที่ช่วยสร้างความสำนึกรักชาติให้กับคนแต่ละประเทศ แต่ สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับเด็กไทยปัจจุบัน คือ ถูกโปรแกรมเมอร์ลึกลับระดับโลก ที่น่ากลัว สร้างให้เด็กไปสู่วัฒนธรรมบริโภคนิยม ทำให้ไม่รู้จักความเป็นชาติ แต่หากผู้บริหารประเทศ มีความชาญฉลาด ก็ควรจะรู้ว่าการส่งเสริมให้เกิดการตกผลึกในงานศิลปวัฒนธรรมทุกสาขาเป็นความจำเป็น โดยการสร้างเครื่องมือให้เยาวชนไทยเกิดความรักชาติ ก็จะทำให้เอกลักษณ์ของชาติไม่สูญหาย ทีมข่าววัฒนธรรม เห็นด้วยกับแนวทางการส่งเสริมวรรณกรรมเข้าสู่สถานศึกษา แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม คงต้องรับหน้าเสื่อร่วมมือกันเป็นเจ้าภาพหลักดำเนินงาน สานฝันให้เป็นจริง ซึ่งอาจจะบรรจุเนื้อหาวรรณกรรมลงในแท็บเล็ต อุปกรณ์การเรียนการสอนให้เข้ายุคสมัยใหม่เพราะเรามองว่า “วรรณกรรม และบทกวี” เป็นภาพสะท้อนความจริงของสังคมในแต่ละยุคสมัย หากเด็กและเยาวชนได้รู้ ถึงความเป็นตตัวตนและชาติกำเนิดของตนเองแล้ว ผลที่ตามมา คือ เกิดสำนึกรักและหวงแหนในความเป็นชาติ

“...
คนเก่งต้องกร้านต้องหาญกล้า
มิรอนอ่อนล้าแรงละโหย
ต้องท้าพายุที่บดโบย
แม้เปลี่ยวเดียวโดยระหว่างดล...”

บทกวีที่อยู่ในหนังสือดอกบัวบานในธารวรรกรรม โดย วรภ วรภา.

ทีมข่าววัฒนธรรม
 


Krootanoi

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 1
 



ครูพันธุ์แท้

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 2
เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลง เรื่องจริงในสังคมไทยยุคปัจจุบันที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยค่ะ
“วรรณกรรม และบทกวี” เป็นภาพสะท้อนความจริงของสังคมในแต่ละยุคสมัย หากเด็กและเยาวชนได้รู้ ถึงความเป็นตัวตนและชาติกำเนิดของตนเองแล้ว ผลที่ตามมา คือ เกิดสำนึกรักและหวงแหนในความเป็นชาติ การปลุกจิตสำนึกในความรักชาติแผ่นดินเป็นนโยบายเร่งด่วนที่สุดที่ต้องทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันรณรงค์ก่อนที่จะถึงกาลอวสานของแผ่นดินค่ะ
 


witjung

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 3

หนังสือต่างๆที่หน่วยงานแจกไปยังโรงเรียนและห้องสมุด ผมเห็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดมัดรวมชั่งกิโลขายครับ เพราะผู้ประเมินห้องสมุดดีเด่นบอกต้องใช้ระบบอิเล็คทรอนิค



ครูทะเล

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 4
สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับเด็กไทยปัจจุบัน คือ ถูกโปรแกรมเมอร์ลึกลับระดับโลก ที่น่ากลัว สร้างให้เด็กไปสู่วัฒนธรรมบริโภคนิยม ทำให้ไม่รู้จักความเป็นชาติ ต้องให้ DSI จัดการปราบให้สิ้นซาก แต่งาน DSI เยอะมากอย่ารอเลยครับ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม จับมือกันสานฝันให้เป็นจริง สร้างความสำนึกรักชาติผ่านวรรณกรรมและบทกวี แต่อันดับแรกต้องให้เด็กอ่านออกร้อยเปอร์เซนต์ภายใน 2556 นี้ก่อนครับ อ่านไม่ออกคิดไม่เป็นอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง


บ่าวรัฐ

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 5
มีบทความมาฝากครับ

ความจริงเรื่องเด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออก

บทความโดย นายธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์ ผู้อำนวยการสมาคมไทสร้างสรรค์ คัดจากหนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับสมน้ำหน้าประเทศไทย


บ่าวรัฐ

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 6
บุคลากรส่วนใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการเป็นเพียงการรักษาตนให้ปลอดภัยจากการประเมินหรือจากระเบียบทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กๆและประเทศชาติเพียงน้อยนิด มันจริงมั้ยครับ?

เด็กๆไปโรงเรียนปีละ ๒๐๐ วันๆละ ๘ ชั่วโมง เข้าเรียนจริงวันละ ๕ ชั่วโมง(เป็นอย่างน้อย) ต่อเนื่อง ๖ ปี(เป็นอย่างน้อย) รวม ๖,๐๐๐ ชั่วโมง (เป็นอย่างน้อย)
ทำไมเด็กจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก?
โรงเรียนจะอธิบายต่อพ่อแม่ขแงพวกเขาอย่างไร?


Mayjung

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 7
โรงเรียนคาดหวังเพียงให้เด็กมีชั่วโมงเข้าชั้นเรียนครบ และสามารถ “สะสม” ชิ้นกระดาษที่ถูกเรียกว่า “งาน” เพื่อการประเมินผลงานสร้างความก้าวหน้าแก่ผู้สอน ในขณะที่เด็กๆชั้น ป.๓-ม.๑ เหล่านั้นไม่สามารถเขียนแม้คำง่ายๆ ไม่สามารถออกเสียงพยัญชนะ เป็นคำอธิบายว่าทำไมพวกเขาขึ้นถึงชั้นมัธยมได้ทั้งที่ไม่ผ่านเกณฑ์การ อ่าน ป.๑ ที่กำหนดให้เด็กๆต้องอ่านได้ ๖๐๐ คำเป็นอย่างน้อย
 เพราะผลงานของผู้สอนและภาพลักษณ์ของโรงเรียนสำคัญกว่าสิ่งที่เด็กๆจะได้รับ ดังนั้นตัวเลขเด็กจำนวนเด็กอ่านหนังสือไม่ออก จึงปรากฏดังยกมาข้างต้น แต่กระทรวงศึกษาธิการยังหาคำตอบไม่ได้ว่าผิดที่ใคร และทำการแก้ไขโดยเปลี่ยนหลักสูตรการสอนกันไม่เว้นแต่ละปี

 



คลื่นใต้น้ำ

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 8
ตามบ่าวรัฐไปอ่านแล้วขออนุญาตหยิบมาเผยแผ่ให้อ่านกันชัดๆ
แต่จะอ่านกันหรือเปล่าเค้ายิ่งว่าคนไทยไม่อ่านหนังสือ
 
ความจริงเรื่องเด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออก
บทความโดย นายธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์ ผู้อำนวยการสมาคมไทสร้างสรรค์ คัดจากหนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับสมน้ำหน้าประเทศไทย

ในฐานะที่เป็นบุคคลหนึ่งที่ทำงานการศึกษามากว่า ๒๕ ปี รู้สึกสะเทือนใจอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวในวันนี้ เพราะงานที่ทำต้องเกี่ยวข้องกับเด็กๆและโรงเรียนของรัฐ อันเป็นโรงเรียนที่ดำรงอยู่ด้วยภาษีของเรา ด้วยเงินของเรา แต่เราแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้กับความจริงที่ว่า เด็กๆของเราจำนวนมากที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกว่า ๓๕,๐๐๐ โรงนี้ อยู่ในภาวะอ่านหนังสือไม่ออก
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเคยออกมายอมรับเมื่อปีที่ แล้วว่า มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามอ่านหนังสือไม่ออกร้อยละ ๑๒ หรือประมาณ ๘๐,๐๐๐ คน ซึ่งนับเป็นความกล้าหาญอย่างมาก แต่ สพฐ. ก็ไม่กล้าหาญมากพอที่จะบอกความจริงทั้งหมด เพราะความจริงน่ากลัวกว่านั้นมาก และการยอมรับว่าเด็ก ป.๓ อ่านหนังสือไม่ออกนั้น ฟังดูก็เหมือนจะตั้งใจชี้ประเด็นปัญหาเพื่อให้เกิดการแก้ไข แต่วิธีการนำปัญหามาวางบนโต๊ะของเรานั้น มักจะทำเมื่อทุกอย่างสายเกือบเกินแก้แล้วในแทบทุกกรณี รวมทั้งในกรณีนี้ เพราะจำนวนเด็กอ่านหนังสือไม่ออกนั้นมีอยู่ทุกระดับชั้น ตั้งแต่ ป.๓ ที่ท่านพูดเอาไว้ไปจนถึงมัธยมปลาย หากจะคิดคำนวนอย่างง่ายๆ จำนวนนักเรียนเฉลี่ยตามอัตราการเกิดของประชากร ตามข้อมูลด้านล่างนี้ เราก็จะเห็นว่ามีเด็กๆอ่านหนังสือไม่ออกอยู่นับแสนนับล้านคนในปัจจุบัน 
 
หากนับรวมเด็กๆที่ออกจากระบบโรงเรียนไปโดยอ่านหนังสือไม่ออกในรอบ สิบปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าเป็นภาพอันน่าสยดสยองขนาดไหน (แค่ร้อยละ ๕ นั้นก็มากกว่าทหารไทยทั้งกองทัพแล้ว) คำถามที่ตามมาคือกระทรวงศึกษาธิการทำอะไรอยู่กับเรื่องนี้ เราอาจจะได้คำอธิบายมากมาย รวมทั้งคำตอบว่ากำลังพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรกันอยู่ ซึ่งก็เป็นคำตอบที่เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่เปลี่ยนหลักสูตรและการสอน ครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ ๒๕๒๑ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษาที่ใช้เวลาไปแล้วกว่า ๑๐ ปี ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการในทุกระดับเพื่อโดยหวังว่าการศึกษาของเราจะดี ขึ้น ฯลฯ
 
ผู้เขียนในฐานะบุคคลหนึ่งที่ทำงานการศึกษาพื้นฐานและการอ่านออก เขียนได้ (literacy) มานานพอสมควร เห็นว่าโดยแท้จริงแล้ว สิ่งที่เป็นอยู่ในระบบโรงเรียนขณะนี้ไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาการทางการเรียนรู้ ของเด็กๆแต่ประการใด หากแต่สิ่งที่ทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของบุคลากรส่วนใหญ่ในกระทรวง ศึกษาธิการเป็นเพียงการรักษาตนให้ปลอดภัยจากการประเมินหรือจากระเบียบทาง ราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กๆและประเทศชาติเพียงน้อยนิด
 
ถามว่าทำไมผู้เขียนจึงมองอย่างนั้น คำตอบอยู่ในความจริงเพียงสองสามข้อ
 
๑. เด็กๆไปโรงเรียนปีละ ๒๐๐ วันๆละ ๘ ชั่วโมง เข้าเรียนจริงวันละ ๕ ชั่วโมง(เป็นอย่างน้อย) ต่อเนื่อง ๖ ปี(เป็นอย่างน้อย) รวม ๖,๐๐๐ ชั่วโมง (เป็นอย่างน้อย) ทำไมจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก? แล้วโรงเรียนจะอธิบายต่อพ่อแม่ของพวกเขาอย่างไร?
 
๒. หลายโรงเรียนบอกว่า นักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกนั้นเป็นเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าเป็นเด็กพิเศษ แต่โรงเรียนไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งโง่ที่ไม่พูดว่าประชากรโลกที่ประสบภาวะ ความพิการนั้นมีประมาณร้อยละ ๑๐ และมีเพียงร้อยละ ๒๐ ของกลุ่มนี้ที่ต้องการการจัดการศึกษาแบบพิเศษ (ร้อยละ ๘๐ สามารถเรียนในโรงเรียนปกติได้ และในจำนวนนั้นยังสามารถแยกประเภทความพิการออกได้อีกหลายสาขาโดยส่วนใหญ่ไม่ เกี่ยวกับความบกพร่องทางการเรียนรู้) แต่ความจริงที่พบเห็นคือ มีเด็กกว่าร้อยละ ๑๐ ในโรงเรียนหลายแห่งที่ถูกตีตราว่า “พิการ” ดังนั้นการอ้างว่าเด็กอ่านหนังสือไม่ออกจำนวนมากเพราะประสบภาวะความพิการจึง ฟังไม่ขึ้น
เด็กๆไปโรงเรียนปีละ ๒๐๐ วันๆละ ๘ ชั่วโมง เข้าเรียนจริงวันละ ๕ ชั่วโมง(เป็นอย่างน้อย) ต่อเนื่อง ๖ ปี(เป็นอย่างน้อย) รวม ๖,๐๐๐ ชั่วโมง (เป็นอย่างน้อย) ทำไมเด็กจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก? โรงเรียนจะอธิบายต่อพ่อแม่ขแงพวกเขาอย่างไร?

๓. กรมการศึกษานอกโรงเรียน มีหลักสูตรการศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ตั้งแต่พ.ศ ๒๕๓๓ ถ้าจำไม่ผิด) สอนผู้ใหญ่ชาวเขาที่พูดภาษาไทยได้เล็กน้อยและอ่านหนังสือไม่ออก ให้อ่านออกเขียนได้ด้วยเวลาเรียนเพียง ๒๐๐ ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทำไมเด็กที่เข้าชั้นเรียนกว่า ๕,๐๐๐ ชั่วโมงเป็นเวลาต่อเนื่องถึง ๖ ปีจึงยังอ่านหนังสือไม่ออก
ข้อเท็จจริงที่เราพบเห็นในโรงเรียนส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารโรงเรียนไม่ใส่ใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่เคยสังเกตุการสอน จึงไม่เคยรู้ว่าครูแต่ละคนสอนหนังสืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนแบบสอน (Teach) หรือการจัดกิจกรรม(Instruct) แต่มุ่งความสนใจไปในงานทุกอย่างที่ไม่ใช่กิจกรรมในชั้นเรียน ในขณะที่ครูเองก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆตามความสนใจและภาระกิจที่ผู้ บริหารมอบหมายเป็นหลัก รวมถึงการทำและรวบรวมเอกสารต่างๆเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง การสอนหนังสือ(ไม่ว่าจะในความหมายใด)กลายเป็นความสำคัญในลำดับท้ายๆเกือบ ทั้งสิ้น
 
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เด็กๆจำนวนมหาศาลไม่ได้อะไรเลยจากเวลากว่า ๕,๐๐๐ ชั่วโมงที่อยู่ในชั้นเรียน ตรงนี้อาจจะมีเสียงโต้แย้งว่า เด็กๆได้เรียนรู้มากมายหลากหลายมิติแม้จะอ่านหนังสือไม่ออก แต่มีความจริงข้อหนึ่งที่จะต้องทำความเข้าใจร่วมกันเป็นอันดับแรกว่า การออกกฏหมายบังคับให้พ่อแม่ส่งลูกเข้าโรงเรียนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกนั้นมี พื้นฐานสำคัญที่สุดอยู่ที่การทำให้เด็กๆ “อ่านออกเขียนได้” เพราะการอ่านออกเขียนได้เป็นกุญแจดอกแรกที่จะเปิดประตูไปสู่โลกของการเรียน รู้ และประตูบานแรกนี้คือโอกาสที่จะนำพวกเขาไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคือการรังสรรสังคมที่ดีงาม ปลายทางของการอ่านออกเขียนได้จึงยาวไกลเกินกว่าเราจะจินตนาการไปถึง ตรงข้ามกับความมืดมนอับจนหนทางของการไม่รู้หนังสือทั้งในระดับปัจเจกและ สังคม
 
ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นอยู่สองสามประการเกี่ยวกับการทำหน้าที่ใน ฐานะนักการศึกษาว่า ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ครู” นั้นมีหน้าที่หลักเพียงประการเดียวคือสอนหนังสือ และต้องสอนหนังสือให้ดี ภาระกิจประการแรกสุดของครูผู้สอนการศึกษาพื้นฐานคือ จะต้องกระทำทุกวิถีทางให้เด็กๆ “อ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้” การสอนไปวันๆโดยไม่สามารถช่วยให้พวกเขาอ่านหนังสือออกจึงเป็นความบกพร่องและ ความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุดในฐานะนักวิชาชีพ ส่วนผู้บริหารโรงเรียนนั้นก็มีหน้าที่หลักเพียงประการเดียวเช่นกัน คือการรับประกันต่อพ่อแม่และสังคมว่าครูทุกคนภายใต้การบังคับบัญชาได้ทำหน้า หน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ในหน้าที่การสอน หากไม่เป็นไปตามนั้น ตนมีหน้าที่ต้องใช้อำนาจหน้าที่ทุกประการเพื่อช่วยเหลือแก้ไข หากไม่สามารถกระทำการอย่างนั้นได้ ก็บกพร่องล้มเหลวเช่นกันนอกจากนั้น ครู (ทั้งผู้ทำหน้าที่สอนและผู้ทำหน้าที่บริหาร) จะต้องเชื่อมั่นในจิตสำนึกด้านดีของเด็ก เชื่อว่าเด็กๆทุกคนพร้อมจะเป็นคนดี ทั้งต้องเชื่อมั่นด้วยว่าเด็กๆทุกคนสามารถเข้าถึงศักยภาพของตนเองได้ทั้ง สิ้นไม่ว่าจะเกิดและเติบโตมาในสภาพการณ์อย่างไร พื้นฐานหรือที่มาใดๆไม่ใช่สิ่งที่ครูจะนำมาเป็นสมมุติฐานว่าเด็กจะเรียนได้ หรือไม่ ครูมีหน้าที่ทุกประการที่จะต้องทำให้เด็กๆเรียนได้ โดยไม่มีข้อยกเว้น
 
ข้อเท็จจริงที่เราพบเห็นในโรงเรียนส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารโรงเรียนไม่ใส่ใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่เคยสังเกตุการสอน จึงไม่เคยรู้ว่าครูแต่ละคนสอนหนังสืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนแบบสอน (Teach) หรือการจัดกิจกรรม(Instruct) แต่มุ่งความสนใจไปในงานทุกอย่างที่ไม่ใช่กิจกรรมในชั้นเรียน ในขณะที่ครูเองก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆตามความสนใจและภาระกิจที่ผู้บริหารมอบหมายเป็นหลัก รวมถึงการทำและรวบรวมเอกสารต่างๆเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง การสอนหนังสือ(ไม่ว่าจะในความหมายใด) กลายเป็นความสำคัญในลำดับท้ายๆเกือบ ทั้งสิ้น
 
ในโครงการทดลองแก้ไขปัญหาการอ่านที่สมาคมฯพยายามทำอยู่นั้น มีเหตุสร้างความสะเทือนใจต่อคณะทำงานและผู้เป็นพ่อแม่อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นกลายเป็นเพียงอุดมคติและความคิดฝันอัน บรรเจิดที่แทบจะไม่มีโอกาสไปถึง ด้วยผู้เกี่ยวข้องที่โรงเรียนคาดหวังเพียงให้เด็กมีชั่วโมงเข้าชั้นเรียนครบ และสามารถ “สะสม” ชิ้นกระดาษที่ถูกเรียกว่า “งาน” เพื่อการประเมินผลงานสร้างความก้าวหน้าแก่ผู้สอน ในขณะที่เด็กๆชั้น ป.๓-ม.๑ เหล่านั้นไม่สามารถเขียนแม้คำง่ายๆ เช่น “คน” “ใจ” ไม่รู้จักสระ -ะ -า หรือ ฐ ฌ ไม่สามารถออกเสียงพยัญชนะ ท ให้แตกต่างจาก ต ฯลฯ จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมพวกเขาขึ้นถึงชั้นมัธยมได้ทั้งที่ไม่ผ่านเกณฑ์การ อ่าน ป.๑ ที่กำหนดให้เด็กๆต้องอ่านได้ ๖๐๐ คำเป็นอย่างน้อย เพราะผลงานของผู้สอนและภาพลักษณ์ของโรงเรียนสำคัญกว่าสิ่งที่เด็กๆจะได้รับ ดังนั้นตัวเลขเด็กจำนวนเด็กอ่านหนังสือไม่ออก จึงปรากฏดังยกมาข้างต้น แต่กระทรวงศึกษาธิการยังหาคำตอบไม่ได้ว่าผิดที่ใคร และทำการแก้ไขโดยเปลี่ยนหลักสูตรการสอนกันไม่เว้นแต่ละปี
ในโรงเรียนที่ไปทดลองช่วยเหลือเด็กๆนั้น พบว่าแม้จะมีเด็กๆประสบปัญหาเดียวกันอยู่กว่า ๔๐ คน(จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘๐ คน) แต่มีเด็กเข้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่องเพียง ๑๒ คน (เรียนชั้น ป.๓ ถึง ม.๑) และเหลือ ๗ คนเมื่อเริ่มปีการศึกษาใหม่ (ออกจากโรงเรียนหรือย้ายโรงเรียน) ในเบื้องต้นคณะทำงานตั้งสมมุติฐานว่า หากการอ่านสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ ทักษะการอ่านและความกระตือรือร้นในการอ่านจะเกิดขึ้นตามมา โดยมีเป้าหมายกระตุ้นแก้ไขการอ่านเป็นเวลา ๑๐๐ ชั่วโมง แต่เมื่อเริ่มกิจกรรมกลับพบว่า เด็กๆทุกคนแบกปัญหาหนักมาจากบ้านทั้งสิ้น ทั้งความแตกแยกของผู้ปกครอง ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ต้องหาเช้ากินค่ำ ขาดการดูแล ถูกทอดทิ้งทั้งทางกายภาพและจิตใจ อันเป็นปัญหาที่ไม่มีไครมองเห็น และดูเหมือนจะไม่มีใครตั้งใจจะมองให้เห็น ดังนั้นปัญหาเหล่านี้จึงส่งเด็กๆไปสู่ความล้มเหลวในโรงเรียนตั้งแต่เริ่มต้น แล้วตามด้วยความล้มเหลวต่อๆมา ร่วมกันทำลายความสำนึกถึงคุณค่าของตนเองไปจากพวกเขา เป็นแรงเหวี่ยงส่งพวกเขาไปสู่การแสดงตัวตนอย่างก้าวร้าว รุนแรง เมินเฉย หยาบคาย อันเป็นพฤติกรรมที่เราเรียกว่า “การเรียกร้องขอความช่วยเหลือ” จนกระทั่งมีภาพลักษณ์เป็นตัวปัญหาและสร้างภาระแก่โรงเรียน(ในมุมมองของ บุคลากร) เด็กเหล่านี้จึงไม่เป็นที่ต้องการ ไม่มีใครคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ๓๐ ชั่วโมง เด็กๆบางคนร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจที่อ่านหนังสือให้เพื่อนฟังไม่ได้ พ่อแม่ดีใจที่ลูกเริ่มอ่านหนังสือภาพให้ฟัง หลังจากทำงานร่วมกันประมาณ ๕๐ ชั่วโมง เด็กๆส่วนใหญ่เริ่มอ่านหนังสือออกและเริ่มหัดเขียนข้อความสั้นๆ พวกเขาเริ่มผ่อนคลาย สงบลง สุภาพขึ้น แสดงน้ำใจต่อผู้อื่น ชี้ให้เห็นว่าสำนึกแห่งคุณค่าในตนเองเริ่มกลับมา เริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ตนเองก็สามารถไปสู่ความสำเร็จได้เช่นเดียวกับผู้อื่น โลกใบนี้มีที่ให้เขายืน มีคนเห็นคุณค่าและได้รับความนับถือเช่นเดียวกับเด็กๆคนอื่น
แล้วปลายทางอยู่ที่ไหน ภายใต้บริบทที่ขัดแย้งระหว่างคณะทำงานกับวาระสำคัญอันหลากหลายของโรงเรียน ภายใต้บริบทของเด็ก ๗ คนกับเด็กๆอีกนับล้านคนทั่วประเทศ และภายใต้บริบทของคนทำงานการศึกษาอิสระกับโครงสร้างที่เต็มไปด้วยคำอธิบาย แต่ไม่เคยหาคำตอบอะไรได้ของกระทรวงศึกษาธิการ
 
เหล่านั้นเป็นคำถามที่เราไม่รู้คำตอบ  เราตอบได้เพียงว่า หากสามารถพาเด็กๆทั้ง ๗ คนนี้ไปถึงโลกของหนังสือและการอ่านได้แล้ว ในวันที่เด็กๆเหล่านี้สามารถอ่านวรรณกรรมเยาวชนได้เองอย่างมีความสุข ก็ย่อมหมายความเราส่งพวกเขาถึงชายฝั่งแล้ว หนทางที่เหลืออยู่ก็ขึ้นอยู่กับสื่งที่พวกเขาค้นพบ และคำตอบที่พวกเขาค้นหาได้เองในโลกแห่งการเรียนรู้
 
 


nanfahthai

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 9
เราต้องเปิดโลกวรรณกรรมในระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเข้าถึงการอ่านของเด็กและเยาวชนค่ะ มันอาจต้องใช้เวลา แต่ถ้าร่วมมือกันหลายฝ่ายน่าจะประสบความสำเร็จได้ในวันหนึ่ง เจาะกลุ่มคนวัยกำลังพัฒนา แต่ปัญหาของเราติดอยู่ที่คำว่า "ร่วมมือ" นี่แหล่ะค่ะ ยอมรับกันมั้ยว่าสังคมไทยเรายังดันทุรังจะวันแมนโชว์ ทั้งทั้งที่มีคาถาเป่าขม่อมมาแต่อ้อนแต่ออก"จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" ก็ยังทำงานทีมกันไม่เป็นเลย นี่คือด่านแรกของการไม่รู้จักแก้ปัญหา


สสกร

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 10
ขอเชิญพี่น้องไทยร่วมแสดงพลังไทยเพื่อแผ่นดินไทย
 


KET

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 11
คุณสสกรครับตกลงครับ ขอรายละเอียดด้วยครับ
ใคร จะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไรครับ
แต่ว่า สสกร.ย่อมาจากอะไรครับ
ใช่สสกย.หรือเปล่าครับ ถ้าใช่ก็ทันทีเลยครับ
ดาวกระจายครับ


สสกร

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 12
เข้าใจตรงกันแล้วครับ
คนสา'สุข ประกาศรบ คน สพฐ.ยังจุกวิทยฐานะอยู่หรือเปล่า
เราจะรวมดาวครับ


เรือกระดาษ

ตอบกระทู้เมื่อ
22 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 13
ขอตัดบทมาตรงนี้ละกัน
 
นายเขมชาติ ฉายภาพของแนวทางการแลกเปลี่ยนความรู้งานวรรณกรรมร่วมกับประเทศเวียดนาม
 
แนวทางการส่งเสริมงานวรรณกรรมร่วมกับสมาคมนักเขียนเวียดนาม นำมาต่อยอดในการสร้างเยาวชนนักเขียนรุ่นใหม่ สิ่งแรกที่ได้พบเห็นได้อย่างชัดเจน คือ เด็กและเยาวชนในวัยเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษา ไปจนถึงรั้วอุดมศึกษาของเวียดนามให้ความสนใจมาร่วมงานเปิดตัวหนังสือเล่มนี้อย่างคับคั่ง ขณะที่พบว่า ปัจจุบันเด็กเวียดนามสนใจเรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สามจำนวนมากขึ้น รองจากภาษาเวียดนาม และภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ให้เหตุผลตรงกันว่า ภาษาไทยมีเอกลักษณ์ มีการใช้ภาษาที่งดงาม และออกเสียงได้ไพเราะ ยิ่งไปกว่านั้น เด็กเวียดนามจำนวนไม่น้อยใช้การอ่านวรรณกรรม งานเขียน เรื่องสั้น นวนิยาย และบทละคร ในการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อให้เข้าใจการใช้ชีวิตของคนไทยได้เป็นอย่างดี ประเทศเวียดนามให้ความสำคัญทางด้านภาษามาก ตั้งแต่สมัยโบราณที่มีการสอบแข่งขันจอหงวนซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน คนเวียดนามจึงท่องมาก อ่านมาก ผ่านวรรณกรรม บทกวีต่างๆ เพื่อให้เกิดพัฒนาการทางด้านความคิด และสติปัญญาใช้ต่อสู้เพื่อสร้างความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้สั่งสมเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน เด็กและเยาวชนก็ยังให้ความสำคัญในการเรียนรู้ภาษา ให้รู้ชาติกำเนิด ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็สนับสนุนให้ปรับหลักสูตรการเรียนการสอนด้านภาษาและวรรณกรรม ในปี 2556–2563 เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งต่างจากเยาวชนไทยที่มีการเรียนรู้วรรณกรรมของชาติลดลงเรื่อยๆ”
 
อยากรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งกันหรือเปล่า


witjung

ตอบกระทู้เมื่อ
23 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 14

แก้อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้เหลือ0 ภายในเทอม2ปีนี้ "จาตุรนต์"สั่งด่วน/เน้นประเมินเข้มข้นป.3,6

http://www.thaipost.net/news/230813/78216

“อ๋อย" สั่งฟ้าแลบ แก้ปัญหาเด็กประถมอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ ตีความไม่เป็นเร่งด่วน ให้เหลือ 0 ภายในเทอม 2/2556 มอบ สพฐ.คิดระบบประเมินและคู่มือครู เน้นประเมินเข้มข้นในชั้น ป.3 และ ป.6 ส่วน ป.2, ป.4 และ ป.5 ให้ประเมินขั้นต้น
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วยนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และนางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ กพฐ. แถลงข่าว “การเรียนการสอนวิชาภาษาไทยของประเทศ” โดยนายจาตุรนต์กล่าวว่า ปัจจุบันภาวการณ์อ่านออก-เขียนได้ ผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทย และทักษะเพื่อการสื่อสารภาษาไทยยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะนักเรียนระดับประถมศึกษา ถึงแม้ผลการทดสอบที่ผ่านมาจะชี้ว่าบางทักษะของใช้ภาษาไทยจะดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ ตนมองว่าวิชาภาษาไทยเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนวิชาอื่นให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงเพิ่มผลสัมฤทธิ์การประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) ในอนาคต จึงกำหนดนโยบายเร่งด่วนจะลดปัญหาการอ่านออก-เขียนไม่ได้ และไม่เข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาให้เหลือศูนย์ภายในภาคเรียนที่ 2/2556
    เบื้องต้นโครงการดังกล่าวจะมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปคิดให้เป็นระบบ ทั้งคิดหาเครื่องมือประเมินและคู่มือแนะนำครู ผ่านการสอบถามความเห็นระหว่างเขตพื้นที่ฯ โรงเรียน ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นในต้นเดือน ก.ย.นี้จะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการต่อไป ส่วนหลักการที่ตนมอบให้ สพฐ.นั้น ได้แก่ ให้เริ่มสำรวจด้วยการประเมินผลนักเรียนสังกัด สพฐ.แบบเข้มในชั้น ป.3 และ ป.6 ทุกคน เพื่อคัดกรองหาเด็กกลุ่มอ่อนนำมาพัฒนาให้สามารถอ่านออก-เขียนได้ สื่อสารเข้าใจภายในปีการศึกษา 2556 นี้ ส่วนนักเรียนชั้น ป.2, ป.4 และ ป.5 จะใช้การประเมินขั้นต้น เพื่อสำรวจหาเด็กอ่อนมากๆ นำมาพัฒนา
    “แนวทางพัฒนาภาษาไทยให้กับผู้เรียนอาจมีหลายแบบ ที่ผ่านมาก็มีหลายโรงเรียนใช้นวัตกรรมของตัวเองจนประสบความสำเร็จ เช่น การเรียนพิเศษเพิ่มเติม การจัดห้องเรียนใหม่ด้วยการนำเด็กอ่อนมารวมกลุ่มกัน เน้นหนักวิชาภาษาไทย ลดน้ำหนักวิชาอื่น ซึ่งหากผู้เรียนสามารถอ่านออก-เขียนได้ สื่อสารเข้าใจแล้ว ก็ค่อยย้ายกลับห้องเรียนเดิม อย่างไรก็ดี การดำเนินการเรื่องดังกล่าวจะต้องสื่อสารให้ผู้ปกครองเข้าใจ ว่าวิชาภาษาไทยจะเป็นบันไดขั้นแรกในการเรียนวิชาอื่นๆ ให้ดีได้ และสามารถยกผลสัมฤทธิ์ได้ในอนาคต” นายจาตุรนต์กล่าว
    นายชินภัทรกล่าวว่า ที่ผ่านมาเขตพื้นที่ฯ กับโรงเรียนจะสแกนหาเด็กอ่อนภาษาไทยอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีส่วนกลางเข้าไปร่วมด้วยในการทำเครื่องมือประเมินผู้เรียน จากนั้นจะให้เขตพื้นที่ฯ ไปเผยแพร่ต่อ ทั้งนี้ ก็ขอให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นเพื่อเป็นข้อมูลให้ สพฐ.ติดตามปัญหาดังกล่าวต่อไป
    นางเบญลักษณ์กล่าวถึงเครื่องมือประเมินผลว่า จะเป็นแบบทดสอบให้เด็กได้อ่านให้ครูฟัง อย่างเด็ก ป.3 ต้องอ่านให้ได้ในระดับของ ป.3 ขณะที่ครูก็จะประเมินผลตามคู่มือที่ สพฐ.ให้เขตพื้นที่ฯ ไป ส่วน ป.6 ก็เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม คิดว่าเครื่องมือประเมินผลและคู่มือครูจะสามารถจัดทำได้เสร็จสิ้นภายในปลายเดือน ส.ค.นี้.



บัวบก

ตอบกระทู้เมื่อ
24 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 15

โพลสำรวจการใช้ภาษาไทยในสังคมออนไลน์ของวัยรุ่นเมืองกรุง กว่าครึ่งยอมรับเขียนผิดหลักภาษาประจำ โดยสาเหตุที่ไม่เขียนตามหลักภาษามากที่สุด เพราะลดความเป็นทางการ เขียนได้ง่ายกว่า สื่อสารได้เร็ว ขณะที่บางกลุ่มก็ไม่รู้หลักภาษาที่ถูกต้อง ยันการใช้ภาษาในสังคมออนไลน์ไม่กระทบต่อการใช้ภาษาไทยในการศึกษา หรือในชีวิตประจำวัน

สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตโพลล์ สถาบันศรีศักดิ์ จามรมาน วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ทำการสำรวจพฤติกรรมการเขียนข้อความภาษาไทยบนเครือข่ายสังคมออนไลน์และความ คิดเห็นต่อผลกระทบกับการใช้ภาษาไทย ของกลุ่มวัยรุ่นไทยในเขตกรุงเทพมหานคร อายุระหว่าง 15-24 ปี ส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือ เทียบเท่า จำนวน 1,054 คน ระหว่างวันที่ 8-14 สิงหาคม 2556 มีผลสรุปดังนี้

       กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 60.53 ยอมรับว่า ตนเองเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออนไลน์ผิดไปจากหลักภาษาที่ถูกต้องเป็น ประจำ ขณะที่ร้อยละ 29.51 ระบุว่าเขียนผิดบ้าง และมีเพียงร้อยละ 9.96 ที่ระบุว่า ไม่เคยเขียนผิดเลย ส่วนของหลักภาษาที่เขียนผิดบ่อยมากที่สุด กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 45.42 ระบุว่าใช้ตัวสะกดพยัญชนะผิด เช่น อาจารย์ เป็น อาจาน หรือ ครับผม เป็น คับผม หรือ สำคัญ เป็น สำคัน ขณะที่ ร้อยละ 21.71 ระบุว่าใช้รูปสระผิด เช่น ก็ เป็น ก้อ หรือ อะไร เป็น อารัย หรือ เปิดเทอม เป็น เปิดเทิม และ ร้อยละ 17.28 ระบุว่าใช้รูปวรรณยุกต์ผิด เช่น หนู เป็น นู๋ หรือ น่ารัก เป็น หน้ารัก
      
       ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างมากกว่าสอง ในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 69.97 ระบุว่าการเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ผิดไปจากหลักภาษาที่ถูก ต้องนั้น เกิดจากความตั้งใจ ขณะที่มีเพียงประมาณหนึ่งในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 24.55 ที่ระบุว่าไม่ได้ตั้งใจ
      
       สำหรับสาเหตุสำคัญที่กลุ่มตัวอย่างเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออ นไลน์ผิดไปจากหลักภาษาที่ถูกต้องสูงสุด 5 อันดับคือ ลดความเป็นทางการในการสื่อสาร คิดเป็นร้อยละ 78.29 เขียนได้ง่ายกว่าการเขียนตามหลักภาษาที่ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 76.71 ช่วยให้สื่อสารได้เร็ว คิดเป็นร้อยละ 72.08 ใช้ตามผู้อื่น คิดเป็นร้อยละ 68.70 และเข้ากับยุคสมัย คิดเป็นร้อยละ 65.86 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 46.47 ระบุว่า เพราะตนเองไม่ทราบหลักภาษาที่ถูกต้องในการเขียน
      
       ส่วนผลกระทบจากการเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออนไลน์ผิดไปจาก หลักภาษาที่ถูกต้องกับการใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 47.53 และร้อยละ 47.15 ระบุว่าการเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ผิดไปจากหลักภาษาที่ถูก ต้องไม่ส่งผลให้การเขียนข้อความภาษาไทยทั่วไปในชีวิตประจำวันผิดมากขึ้น และไม่ส่งผลให้ความรู้ในหลักภาษาไทยที่ถูกต้องลดลง ตามลำดับ
      
       นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 46.4 ระบุว่า การเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ผิดไปจากหลักภาษาที่ถูกต้องไม่ ส่งผลให้ความสามารถในการเขียนภาษาไทย เช่น การบ้าน รายงาน เรียงความ หรือ บทความ ลดลง และร้อยละ 49.62 ระบุว่า ไม่ส่งผลให้ทักษะการใช้ภาษาไทยโดยรวมในด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน ลดลง เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างมากกว่าหนึ่งในสี่กลับระบุว่า การเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ผิดไปจากหลักภาษาที่ถูกต้องจะ ส่งผลปานกลางถึงมากให้การเขียนข้อความภาษาไทยทั่วไปในชีวิตประจำวันผิดมาก ขึ้น ความรู้ในหลักภาษาไทยที่ถูกต้องลดลง ความสามารถในการเขียนภาษาไทย เช่น การบ้าน รายงาน เรียงความ หรือ บทความลดลง และ ส่งผลให้ทักษะในการใช้ภาษาไทยโดยรวมในด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน ลดลง และ กลุ่มตัวอย่างถึงเกือบหนึ่งในสาม หรือคิดเป็นร้อยละ 30.55 ระบุว่า การเขียนข้อความภาษาไทยบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ผิดไปจากหลักภาษาที่ถูกต้องส่ง ผลปานกลางถึงมากให้คุณค่าของภาษาไทยลดลง



ADMIN

ตอบกระทู้เมื่อ
25 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 16



สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved