อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของใจ
http://www.dhammajak.net/book-somdej2/9.html
๐ “ความพอ” เป็นเรื่องของใจ ความคิดอย่างหนึ่ง ที่สมควรฝึกให้เกิดขึ้นเป็นประจำ คือ ความคิดว่า “พอ” คิดให้ “รู้จักพอ”ผู้รู้จักพอจะเป็นผู้ที่มีความสบายใจ ส่วนผู้ไม่รู้จักพอจะเป็นผู้ร้อนเร่า แสวงหาไม่หยุดยั้ง ความไม่รู้จักพอมีอยู่ได้แม้ในผู้เป็นใหญ่เป็นโต มั่งมีมหาศาล และความรู้จักพอก็มีได้แม้ในผู้ที่ยากจนต่ำต้อย ทั้งนี้เพราะความพอเป็นเริ่องของใจที่ไม่เกี่ยวกับฐานะภายนอก คนรวยที่ไม่รู้จักพอ ก็เป็นคนจนอยู่ตลอดเวลา คนที่รู้จักพอ ก็เป็นคนมั่งมีอยู่ตลอดเวลา
๐ การยกระดับใจให้มั่งมีนั้นทำได้ทุกคน การยกฐานะจากยากจนให้มั่งมีนั้น ทำได้ไม่ง่าย บางคนตลอดชาตินี้อาจทำไม่สำเร็จ แต่การยกระดับใจให้มั่งมีนั้น ทำได้ทุกคน แม้มีความมุ่งมั่นจะทำจริงคนรู้จักพอไม่ใช่คนเกียจคร้าน และคนเกียจคร้านก็ไม่ใช่คนรู้จักพอ ควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง แล้วอบรมตนเองให้ไม่เป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เป็นคนรู้จักพอเมื่อรู้สึกไม่สบายใจ ให้รีบระงับเสียทันที อย่าชักช้า ตั้งสติให้ได้ในทันที รวมใจให้ความคิดวุ่นวายไปสู่เรื่องอันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ความไม่สบายใจ อย่าอ้อยอิ่งลังเลว่าควรจะต้องคิดอย่างนั้นก่อน ควรจะต้องคิดอย่างนี้ก่อน ทั้งๆที่ความไม่สบายใจหรือความร้อนเริ่มกรุ่นขึ้นในใจแล้ว ถ้าต้องการความสบายใจ ก็ต้องเชื่อว่าไม่มีความคิดใดทั้งสิ้นที่จำเป็นต้องคิดก่อนทำใจให้รวมอยู่ ไม่ให้วุ่นวายไปในความคิดใดๆ ทั้งนั้น ต้องเชื่อว่าต้องรวมใจไว้ให้ได้ ในจุดที่ไม่มีเรื่องอันเป็นเหตุแห่งความร้อนเกี่ยวข้อง
๐ การจะทำให้ความยากลำบากคลี่คลาย ต้องกระทำเมื่อจิตใจสงบเยือกเย็นแล้วเท่านั้นที่ท่านสอนให้ท่องพุทโธก็ตาม ให้ดูลมหายใจเข้าออกก็ตามนั่นคือการสอนเพื่อให้ใจไม่วุ่นวายซัดส่ายไปหาเรื่องร้อน เป็นวิธีที่จะให้ผลแท้จริงแน่นอนไม่ว่าจะเผชิญกับความลำบากกายใจอย่างใดทั้งสิ้น ให้มั่นใจว่าการจะทำให้ความยากลำบากนั้นคลี่คลาย จะต้องกระทำเมื่อจิตใจสงบเยือกเย็นแล้วเท่านั้นใจที่เร่าร้อน ขุ่นมัว ไม่อาจคิดนึกตรึกตรองให้เห็นความปลอดโปร่งได้ ไม่อาจช่วยให้ร้ายกลายเป็นดีได้
๐ ใจที่สงบ เยือกเย็น มีสติปัญญาเข้มแข็งมาก อย่าคิดว่าเป็นความงมงาย เป็นการเสียเวลา ที่จะปฏิบัติสิ่งที่เรียกกันว่า “ธรรม” ในขณะที่กำลังมีปัญหาประจำวันวุ่นวายขอให้เชื่อว่า ยิ่งมีปัญหาชีวิตมากมายหนักหนาเพียงไร ยิ่งจำเป็นต้องทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นเพียงนั้นพยายามฝืนใจไม่นึกถึงปัญหายุ่งยากทั้งหลายเสียชั่วเวลาเพียงเล็กน้อย เพื่อเตรียมกำลังไว้ต่อสู้แก้ไข กำลังนั้นคืออำนาจที่เข้มแข็งบริบูรณ์ด้วยปัญญาของใจที่สงบใจที่สงบ มีพลังเข้มแข็ง และเข้มแข็งทั้งสติปัญญา ใจที่สงบจะทำให้มีสติปัญญามากและแจ้มใส ไม่ขุ่นมัว ความแจ่มใสนี้เปรียบเหมือนแสงสว่าง ที่สามารถส่องให้เห็นความควรไม่ควร คือควรปฏิบัติอย่างไร ไม่ควรปฏิบัติอย่างไรใจที่สงบก็จะรู้ชัดถูกต้อง ตรงกันข้ามกับใจที่วุ่นวายไม่แจ่มใสซึ่งเปรียบเหมือนความมืด ย่อมไม่สามารถช่วยให้เห็นความถูกต้อง ความควรไม่ควรได้ มีแต่จะพาให้ผิดพลาดเท่านั้น
๐ หมั่นพิจารณาให้เห็นโทษของความโลภ ความโลภ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้เลย วัตถุสิ่งของเงินทองทั้งหลายที่ได้จากความโลภนั้น ดูเผินๆ เหมือนเป็นการยกฐานะ เพิ่มความมั่นคง แต่ลึกลงไปเป็นการทำลายมากกว่า สิ่งที่ได้รับจากความโลภ มักจะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร มักจะเป็นการได้จากความต้องการเสียของผู้อื่น ผู้อื่นทั้งหลายที่ต้องเสียนั่นแหละจะเป็นเหตุทำลาย ความไม่ไว้วางใจของคนทั้งหลายจะเป็นเครื่องทำลายอย่างยิ่ง จะเป็นเหตุให้อะไรร้ายๆตามมาเมื่อถึงเวลา อะไรร้ายๆนั้นก็จะทำลายผู้มีความโลภจนเกินการเมื่อเวลานั้นมาถึงก็จะสายเกินไป จนไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ ฉะนั้นก็ควรหมั่นพิจารณาให้เห็นโทษของกิเลสคือความโลภเสียตั้งแต่ยังไม่สายเกินไป
๐ นับถือพระพุทธเจ้า ต้องนับถือให้ถึงใจ ถ้าความโลภเป็นความดี พระพุทธเจ้าก็จักไม่ทรงสอนให้ละความโลภ และพระองศืเองก็จะไม่ทรงพากเพียรปฏิบัติละความโลภ จนเป็นที่ปรากฏประจักษ์ว่าทรงละความโลภได้อย่างหมดจนสิ้นเชิง เป็นแบบอย่างที่บริสุทธิ์ สูงส่ง ยั่งยืนอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้ แม้ว่าจะได้ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปีเราเป็นพุทธศาสนิก นับถือพระพุทธเจ้า อย่าให้สักแต่ว่านับถือเพียงที่ปาก ต้องนับถือให้ถึงใจ การนับถือให้ถึงใจนั้นต้องหมายความว่า ทรงสอนให้ปฏิบัติอย่างไร ต้องตั้งใจทำตามให้เต็มสติปัญญาความสามารถที่สวดกันว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้ามเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้ามเจ้าถึงพระธรรมเจ้าเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งหมายถึง จะปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างจริงจัง
๐ เมื่อมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งและปฏิบัติตาม จะได้รับความสุขสวัสดีอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้สวดมนต์เพื่อขอร้องวิงวอน ให้ทรงบันดาลให้เกิดความสุขสวัสดีโดยเจ้าตัวเองไม่ปฏิบัติดีความหมายในบทสวดมีอยู่บริบูรณ์ ที่ผู้สวดจะได้รับผลเป็นความสุขความเจริญรุ่งเรืองถ้าปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามความหมายของบทสวดมนต์ หรือเช่นไม่ปฏิบัติตามที่สวดว่าข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็จะไม่ได้รับผลอันเลิศที่ควรได้รับเลย ฉะนั้นจึงควรปฏิบัติให้ได้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง คือปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ ปฏิบัติตามพระธรรมที่ทรงสั่งสอน และปฏิบัติตามพระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติเป็นแบบอย่างไว้เกิด จะได้รับความสุขสวัสดีอย่างยิ่งตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
๐ ความเห็นถูกไม่ตลอด ทำให้เกิดกิเลส “ไม่มีผู้ใดเลยที่เห็นว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นความดี” ทุกคนเห็นว่าไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น นับว่าเป็นความเห็นถูก แต่เพราะเห็นถูกไม่ตลอด จึงเกิดปัญหาในเรื่องกิเลสสามกองนี้ขึ้นที่ว่าเห็นถูกไม่ตลอดก็คือ แทบทุกคนไปเห็นว่าคนอื่นโลภโกรธหลงไม่ดี แต่ไม่เห็นด้วยว่าตนเองโลภโกรธหลงก็ไม่ดีเช่นกัน กลับเห็นผิดไปเสียว่าความโลภโกรธหลงที่เกิดขึ้นในใจตนนั้น ไม่มีอะไรไม่ดี นี่คือความเห็นถูกไม่ตลอด ไปยกเว้นที่ว่าดีที่ตนเองเมื่อเห็นผู้อื่นที่ไม่โลภโกรธหลงน่ารังเกียจเพียงใด ให้เห็นว่าตนเองที่มีความโลภโกรธหลงนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่า แล้วพยายามทำตนให้พ้นจากความน่ารังเกียจนั้นให้เต็มสติปัญญาความสามารถจะเรียกได้ว่าผู้มีปัญญา ไม่ปล่อยตนให้ตกอยู่ใต้ความสกปรกของความโลภโกรธหลง
๐ เมื่อเห็นคนโลภ คนโกรธ คนหลง นับเป็นโอกาสอันงาม ที่จะนำมาพิจารณาตนเองโอกาสที่จะได้เห็นคนโลภคนโกรธคนหลงมีอยู่ทุกเวลานาที เรียกได้ว่าโอกาสที่จะดูตนเองให้เห็นโทษเห็นผิดของตนเองนั้น มีอยู่มากมายทุกเวลานาทีเช่นเดียวกัน สำคัญที่ว่าจะต้องไม่ละเลยปล่อยโอกาสอันงามนั้นให้พ้นไป อย่าลืมนึกถึงตนเองด้วยทุกครั้งไปที่พบเห็นคนโลภ คนโกรธ คนหลงการแก้ความวุ่นวายทั้งหลายนั้น ที่ถูกแท้จะให้ผลจริง ต้องต่างคนต่างพร้อมใจกันแก้ที่ตัวเองเท่านั้น พร้อมใจกันและแก้ที่ตัวเองเท่านั้นที่จะให้ผลสำเร็จได้จริง
๐ อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของใจ ไม่มีอำนาจของบุคคลอื่นใด ที่จะสามารถบังคับบัญชาให้ใครหันเข้าแก้ไขตนเองได้ นอกจากอำนาจใจของเจ้าตัวเองเท่านั้นที่จะบังคับตัวเอง จึงจะสามารถนำให้หันเข้าแก้ไขตนเอง ควรพยายามทำความเชื่อให้แน่นอนมั่นคงสียก่อน ว่าการแก้ที่ตนเองนั้นสำคัญที่สุด ต้องกระทำกันทุกคน ผลดีของส่วนรวมของชาติ ของโลกจึงจะเกิดขึ้นได้ทุกคน ขอให้เริ่ทฃมแก้ที่ตัวเองก่อน แก้ให้ใจวุ่นวายเร่าร้อนด้วยอำนาจของกิเลสมีโลภโกรธหลง ให้กลับเป็นใจที่สงบเย็นบางเบาจากกิเลสคือโลภโกรธหลงที่เคยโลภมาก..ก็ให้ลดลงเสียบ้าง ที่เคยโกรธแรง..ก็ให้โกรธเบาบางลง ที่เคยหลงจัด..ก็ให้พยายามให้สติปัญญาให้ถูกตามความจริงให้มากกว่าเดิม ตนเองจะเป็นผู้สงบเย็นก่อน ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบเย็นกว้างขวางออกไปได้อย่างไม่ต้องลังเลสงสัย |