Neric-Club.Com
  สารบัญเว็บไซต์
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
14032078  

กระดานแสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ    

ADMIN

ตั้งกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  แม่โจ้ชี้ปลูกไม้ผลในกระถางดีกว่าลงดิน


สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เจ๋งศึกษาปลูกต้นไม้ผลในกระถาง พบผลผลิตมีคุณภาพดีกว่าปลูกลงดิน แถมสามารถควบคุมคุณภาพของผลผลิตได้ เตรียมต่อยอดนำผลผลิตจากภาคใต้มาศึกษาต่อ นายพิชัย สมบูรณ์วงศ์ นักวิชาการเกษตร ชำนาญการพิเศษ ฝ่ายนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า ทางสำนักงานวิจัยฯ ได้มีการทดลองนำไม้ผล ต่างๆ อาทิ มะม่วง ส้มโอ มาทดลองปลูกในกระถาง พบว่าไม้ผลที่นำมาปลูกสามารถให้ผลผลิตดีและสามารถควบคุมคุณภาพได้ง่าย รวมทั้งยังใช้พื้นที่น้อย ตลอดจนสามารถควบคุมผลผลิตให้สามารถออกผลได้ตลอดทั้งปี เนื่องจากการปลูกในกระถางสามารถควบคุมสารอาหารของต้นไม้ได้ เช่น ถ้าต้องการปลูกมะม่วงก็สามารถให้ปุ๋ยเพื่อเร่งให้ต้นมะม่วงออกผลผลิตได้ตามที่ต้องการ แต่ทั้งนี้กระถางที่ปลูกต้องมีขนาดกระถางเท่ากับ 1 ปี๊บ เนื่องจากการผสมดินและสารอาหารจะมีทดลองในปิ๊บ ก่อนจะเทส่วนผสมทั้งหมดลงกระถาง และจากการทดลองยังพบว่าไม้ผล 1 กระถาง ยังสามารถทำให้มีหลายสายพันธ์ในต้นเดียวได้ ด้วยการใช้วิธี ทาบกิ่ง ก็จะทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้นและหลายสายพันธ์ สำหรับการปลูกไม้ผลในกระถางนั้นมีประโยชน์ นอกจากจะช่วยให้ผู้ปลูก มีผลผลิตรับประทานตลอดทั้งปีแล้วยังสามารถใช้ไม้ผลกระถาง เป็นต้นไม้ประดับตกแต่งบ้านได้ด้วย เนื่องจากสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย และอยู่ได้ทุกที่ของบ้าน แตกต่างจากการปลูกในบ่อซีเมนต์ และการปลูกลงดิน นอกจากนี้ข้อดีของการปลูกไม้ผลในกระถางยังสามารถควบคุมการเจริญเติบโตได้ง่าย ทั้งการตัดตกแต่งกิ่ง ควบคุมความสูงของต้น และป้องกันโรคจากพืชได้ง่าย ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศด้วย ส่วนการต่อยอดการปลูกต้นไม้ในกระถาง ที่ทางสำนักงานวิจัยฯ กำลังศึกษา คือ การนำส้มโอขาวน้ำผึ้ง ที่นิยมปลูก ในจังหวัดนครปฐม และไม่เป็นที่นิยมปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ เพราะได้รสชาติเปรี้ยว มาทำการศึกษา และการทดลองปลูกในกระถาง นานกว่า 8 เดือน ก็พบว่า ส้มโอให้ผลผลิตที่มีรดชาติใกล้เคียงกับที่ปลูกในจังหวัดนครปฐม รวมทั้งในจะมีการศึกษาต่อไป ว่าจะทำอย่างไรให้ผลผลิตต่อต้นมากที่สุดด้วยเนื่องจากผลผลิตที่ได้ต่อต้นมีจำนวนน้อย นอกจากนี้จะมีการนำเงาะ และมังคุดที่มีการปลูกในภาคใต้ ขึ้นมาปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ ด้วยการปลูกในกระถาง ว่าจะได้ผลอย่างไร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และหาทุนในการศึกษวิจัย ทั้งนี้เกษตรที่สนใจวิธีการปลูกต้นไม้ในกระถาง ว่ามีขั้นตอนวิธีการอย่างไรบ้าง และเทคนิควิธีการปลูกอย่างไรให้ได้ผลผลิต เพื่อนำมาบริโภค และจำหน่าย สามารถติดต่อสอบถามได้สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ที่ 053 -873938-9 ในวันและเวลาราชการ


หนอนไซเบอร์

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 1

ศักยภาพภาคเกษตรของไทยในความเป็นจริง


ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ยังคงเป็นคำพูดที่หลายๆ คนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งคำพูดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้ พร้อมกับชื่อเสียงของประเทศที่มีความแข็งแกร่งในด้านเกษตรกรรม

 

ภาคเกษตรไทยมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ประการแรก คือ เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศ โดยรายได้ภาคเกษตรคิดเป็น 9% ของ GDP รวม (GDP : Gross Domestic Product คือ มูลค่าเบื้องต้นของผลผลิตที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตของประเทศในรอบหนึ่งปี   ส่วน GNP : Gross National Product คือ มูลค่าเบื้องต้นของผลผลิตที่เกิดจากการใช้ปัจจัยการผลิตของชาติในรอบหนึ่งปี)

เป็นที่ทราบกันดีว่ารายได้หลักของประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก โดยพบว่าประเทศไทยมีรายได้ที่มาจากต่างประเทศถึงร้อยละ 78 ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้เป็นรายได้ที่มาจาก 1.การส่งออก   2.การท่องเที่ยว 3.การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่ารายได้ที่ได้มาจากต่างประเทศล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรกรรมเกือบจะทั้งสิ้น กล่าวคือ รายได้จากการส่งออกในปี 2551 จะเป็นสินค้าอาหารเกษตร 8 แสนล้านบาท นอกจากนี้รายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าอาหาร โดยในปี 2549 มีรายได้จากร้านอาหารโดยตรงกว่า 3 แสนล้านบาทความสำคัญประการต่อมา คือ ภาคเกษตรเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญ โดยในปี 2548 แรงงานในภาคเกษตรมีสัดส่วนถึงร้อยละ 37.70 ของแรงงานทั้งหมดซึ่งนับว่าเป็นจำนวนแรงงานที่มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบแรงงานในภาคอื่น ๆ   เช่น ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ15.50   ภาคการค้าส่งและค้าปลีกร้อยละ15.40   และภาคบริการอื่น ๆ ร้อยละ31.50 เป็นต้น

ประการที่สาม ภาคเกษตรสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยมีอาหารหลายชนิดที่มีการส่งออกเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก ได้แก่ หรืออาจได้กล่าวว่า สินค้าบางชนิด ประเทศไทยเป็นเจ้าตลาดก็ว่าได้ เช่น ข้าว ไก่แปรรูป กุ้ง ที่มีการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าภาคเกษตรไทยนั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แต่กลับปรากฏว่าศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรไทยต่ำกว่าภาคอื่น ๆ กล่าวคือ ภาคเกษตรใช้จำนวนแรงงานมาก แต่กลับได้ค่า GDP น้อยที่สุด และเมื่อคำนวณอัตราส่วนแรงงานต่อ GDP ภาคเกษตรคิดเป็นเกือบ 11 เท่าของภาคอุตสาหกรรม หรือคิดเป็นประมาณ 4 เท่าของภาคการค้าส่ง, ค้าปลีก   ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ประสิทธิภาพทางการผลิตในภาคเกษตรต่ำจึงทำให้ผลตอบแทนจากการใช้แรงงาน หรือ รายได้ที่ได้จากการใช้แรงงานนั้นต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ต่อคนต่ำตามไปด้วย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,230 บาทต่อคนต่อเดือน (คำกล่าวของนายแพทย์จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ปี 2549)   จึงเป็นมูลเหตุสำคัญให้แรงงานภาคเกษตรไหลออกไปสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่นที่มีรายได้สูงกว่า

อย่างไรก็ตามภาคเกษตรของไทยนั้นยังมีศักยภาพมากพอที่จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศที่มั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้หากได้รับการดูแลจากทุกภาคส่วน เช่น จะต้องมีการส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรเพื่อทำให้ขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น อันจะเป็นผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้มีการคิดค้นนวัตกรรมเข้ามาใช้ในภาคเกษตร รวมถึงภาคการวิจัยและพัฒนาก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องสนับสนุนให้เข้ามาช่วยเหลือภาคเกษตรมากขึ้น ฯลฯ ทั้งหมดภาครัฐต้องเป็นแกนนำในการพัฒนาและควรให้ความสำคัญกับนโยบายพัฒนาภาคเกษตรของไทยโดยกำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ชาติและดำเนินการอย่างจริงจังและเร่งด่วนก่อนที่ภาคเกษตรของไทยจะอ่อนแอและล่มสลายไปในที่สุด

โดย ดร.พรศรี   เหล่ารุจิสวัสดิ์
สำนักที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ เครือเจริญโภคภัณฑ์
สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์



KTC

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 2

     แนวโน้มการค้าเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สอดรับกับกระแสความตื่นตัวเรื่องสุขอนามัย และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้ผู้คนหันมาเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น แม้จะมีราคาจำหน่ายสูงกว่าราคาสินค้าโดยทั่วไป ส่งผลให้การค้าเกษตรอินทรีย์ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดตามไปด้วย
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงมูลค่าตลาดรวมสินค้าอินทรีย์ทั่วโลกในปี 2553 ว่ามีมูลค่าสูงถึง 54,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีตลาดหลักอยู่ในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส ส่วนตลาดรอง คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์และจีน ทั้งนี้ ไม่เพียงตลาดต่างประเทศเท่านั้นที่ขยายตัว เพราะปัจจุบันผู้บริโภคชาวไทยก็หันมาบริโภคอาหารสะอาด ปลอดภัยกันมากขึ้น โดยคาดว่าตลาดสินค้าอินทรีย์ในประเทศจะมีอัตราเติบโตร้อยละ 10 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 132 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2554 จากแนวโน้มความต้องการสินค้าอินทรีย์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นโอกาสทางการค้าสำหรับประเทศที่มีศักยภาพด้านการผลิตและการทำตลาด กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ ภายใต้ยุทธศาสตร์การค้าไทย : สร้างภูมิคุ้มกันด้านการค้าจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวิกฤติภาวะโลกร้อน จึงได้เร่งดำเนินกลยุทธ์ขับเคลื่อนตลาดสินค้าอินทรีย์ ผ่านแนวทางพัฒนาผู้ประกอบการด้านสินค้าอินทรีย์ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า สนับสนุนการรับรองมาตรฐานให้ทัดเทียมมาตฐานสากล ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ไทยทั้งในและต่างประเทศ กิจกรรมส่งเสริมการตลาดสินค้าอินทรีย์ในประเทศ ได้แก่ การจัดงานรวมพลคนอินทรีย์เพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตและตลาดสินค้าอินทรีย์จากทั่วประเทศ การเข้าร่วมจัดนิทรรศการ “ออร์แกนิก พาวิลเลี่ยน” ในงาน Thaifex – World of Food Asia  2011 การจัดงาน ORGANIC & NATURAL EXPO 2011 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและบริการอินทรีย์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติครั้งแรกในประเทศไทย การจัดกลุ่มธุรกิจสินค้าอินทรีย์ (Organic Business Community) เพื่อสร้างเครือข่ายอินทรีย์ในประเทศ การจัดทำหนังสือ Organic Mapping ซึ่งได้รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลแหล่งผลิตสินค้าอินทรีย์ทั้งหมดในประเทศ การจัดตลาดนัดสีเขียวในจังหวัดต่างๆ และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาค ในด้านการเชื่อมโยงสู่ตลาดต่างประเทศ กระทรวงฯ ได้นำคณะผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน Biofach ที่ประเทศเยอรมนี งาน Expo West ที่สหรัฐอเมริกา และงาน Natural & Organic Products ที่ประเทศอังกฤษ การจัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้า Thailand Pavilion ภายในงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์สำคัญของโลก รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น ห้าง Whole Food Markets ประเทศอังกฤษ ห้าง Metro และ Kaufhof ประเทศเยอรมนี ตลอดจนขยายเครือข่ายกับองค์กรเกษตรอินทรีย์นานาชาติและการเข้าร่วมการประชุมสัมมนานานาชาติด้านเกษตรอินทรีย์อีกด้วย “ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สามารถเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ ทั้งสหภาพยุโรป  สหรัฐอเมริกาและตลาดเอเชีย สร้างมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 ต่อปี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าข้าวอินทรีย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ในปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังกระตุ้นการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเกิดการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายธุรกิจอินทรีย์ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆ” นายยรรยง กล่าว 

    สำหรับแผนการพัฒนาและส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการในระยะต่อไป   นายยรรยง กล่าวว่า กระทรวงฯ ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับการเปิดเสรีด้านการค้า การลงทุนของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ได้อย่างมีศักยภาพ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสินค้าเกษตรอินทรีย์ภายในประเทศ การสร้างเครือข่ายสินค้าและความร่วมมือด้านเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรอินทรีย์ อาทิ การศึกษา งานแสดงสินค้า วัตถุดิบในการผลิตและการตลาด สำหรับจุดเริ่มต้นของการเป็นศูนย์กลางความรู้ กระทรวงฯ จะจัดให้มี Organic Symposium หรือการสัมมนาทางวิชาการเกษตรอินทรีย์ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
     นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มและการพัฒนาสินค้าอินทรีย์ใหม่ๆ เพื่อขยายกลุ่มสินค้าให้ครอบคลุมตามความต้องการของตลาดมากขึ้น แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ กลุ่มสินค้าอาหาร ซึ่งต้องพัฒนาให้เกิดการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานมากขึ้น กลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร เช่น โครงการพัฒนาฝ้าย โดยสนับสนุนให้มีการขยายการผลิต ปรับเปลี่ยนการผลิตเป็นเกษตรอินทรีย์ การแปรรูป ปรับปรุงคุณภาพฝ้ายเป็นสำลีสำหรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสำอางหรือผ้าฝ้ายเกษตรอินทรีย์ กลุ่มธุรกิจบริการอินทรีย์ ได้แก่ ธุรกิจสปา ธุรกิจความงาม ร้านค้าเฉพาะทาง (Green Shop) โรงแรมและร้านอาหาร พร้อมเร่งส่งเสริมการรับรองมาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์ให้เป็นระบบเดียวกันและมีความเป็นสากลมากขึ้น
     “อีกแนวทางสำคัญที่กระทรวงฯ ต้องเร่งดำเนินการคือสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสินค้าทั่วไป สินค้าจากธรรมชาติและสินค้าอินทรีย์ ทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงประโยชน์ของการบริโภคสินค้าอินทรีย์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ตราสินค้า Organic Thai Produces เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอินทรีย์ไทย เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยเชื่อมั่นว่าการดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาดสินค้าอินทรีย์ไทยให้ขยายตัวถึงร้อยละ 20 ในปีหน้า”(ขอบคุณข้อมูลออนไลน์)



Krootanoi

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 3



Krootanoi

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 4
 
ปลูกเมลอนในกระถางค่ะ


ครูพันธุ์แท้

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 5
 
ปลูกผลไม้ในกระถางแก้ปัญหามดปลวกได้จริงค่ะ


witjung

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 6
 
อย่างนี้ดีไหม


Krootanoi

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 7
 
ท่าน witjung ผักไฮโดรโปนิคตะนอยก็กำลังสนใจมากเลยค่ะ จะมีความสุขที่สุดถ้ารอบบ้านจะเป็นไม้ผล พืชผักสวนครัว แค่คิดก็อิ่มจัง พื้นที่ก็ไม่มี ยังต้องทำรั้วกินได้ด้วย เอ่อ..แล้ว เค้าว่าทหารเป็นรั้วของชาติ จะกินกันได้มั้ยน้อ


บ่าวรัฐ

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 8
 
เรื่องกล้วยๆ ในกระถางไม่ยาก แต่รั้วกินได้ของตะนอยท่าจะลำบาก ปลูกดอกไม้ของประชาชนดีกว่า 555++++


k.juy

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 9
 
กินไม่ได้ แต่เท่ห์ ปลูกข้างรั้วก็ได้ กระจายเร็ว ใครไม่รู้จักก็ตกเทรนด์แล้ว


Mayjung

ตอบกระทู้เมื่อ
31 ส.ค. 2556
  ความคิดเห็นที่ 10
 
ปลูกในกระถางก็เลื้อยมาออกดอกผลข้างนอกอยู่ดี สัญชาตญานไม้เลื้อย ก็ต้องคอยปรับแต่งไม่ให้แตกแถวอ่ะนะ  บังคับมากก็พาลไม่งอกงามเข้าอีก เหอๆๆ


คลื่นใต้น้ำ

ตอบกระทู้เมื่อ
02 ก.ย. 2556
  ความคิดเห็นที่ 11
 
 
เรื่องกล้วยๆ ก็ยังเป็นบอนไซได้เนอะ ได้ผลดีเสียด้วยหลังจากต้นแม่ตาย ก็จะแตกหน่อให้เอาไปขยายพันธุ์อีกตรึม บางทีบ้านเมืองเราอาจถึงเวลาแช่แข็งทุกกรรมพันธุ์แล้ว เพื่อความอยู่รอด


สมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด คลิกที่นี่ /  เข้าสู่ระบบ


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved