อาหารและเทคนิคการให้สำหรับลูกสุนัข
ของสำคัญอย่างนี้ พวกเราคนรักสุนัขจะลืมได้อย่างไรใช่ไหมครับ อาหารสำหรับลูกสุนัขมีให้เลือกหลายชนิด แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าตัวของลูกสุนัขนั้นมีความต้องการด้านอาหารเป็นอย่างไร สุนัขปรับตัวเองได้เก่งมาก สุนัขที่เคยอยู่อาศัยกับคนเราจากที่เคยกินแต่เนื้อสัตว์เป็นอาหาร กลับค่อยๆ หัดกินอาหาร เช่น ข้าว และผักได้ ท้ายที่สุดมันจะเริ่มเป็นสัตว์ที่สามารถกินอะไรได้ทุกอย่างเหมือนกับคนขึ้นทุกวันๆ ลูกสุนัขที่ท่านนำมาเลี้ยงนั้นส่วนมากจะมีอายุตั้งแต่ 6-12 สัปดาห์ ซึ่งเป็นลูกสุนัขที่เพิ่งจะหย่านมแม่ ลูกสุนัขในวันนี้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ คือ การกินกับการนอน กว่าจะเป็นหนุ่มเป็นสาวในสุนัขพันธุ์ยักษ์อย่างพันธุ์เกรทเดน พันธุ์มัสตีฟ ถึงอายุที่เป็นสัดได้ก็ประมาณ 24 เดือน พันธุ์ขนาดใหญ่ เช่น พันธุ์ร็อตไวเลอร์ พันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ก็ที่อายุประมาณ 18 - 24 เดือน พันธุ์ขนาดกลาง เช่น พันธุ์บาสเซต ฮาวนด์ พันธุ์อิงลิช ค็อกเกอร์ สแปเนียล ก็ที่อายุประมาณ 12-18 เดือน ส่วนพันธุ์เล็ก อย่างพันธุ์ยอร์กไชร์ เทอร์เรีย พันธุ์มอสทีส ก็อายุ 6-12 เดือน ก็จะเป็นช่วงอายุสุนัขที่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของลูกสุนัขจะไวมาก ในช่วง 6 เดือนแรกสุนัขจะโตเร็วมาก ในช่วงเวลานี้การให้อาหารที่ดีมีคุณค่าจะทำให้ลูกสุนัขเติบโตเป็นสุนัขใหญ่ที่มีสุขภาพที่ดี ลูกสุนัขที่กำลังเจริญเติบโตอายุไม่เกิน 1 ปี ต้องการสารอาหารดังนี้
- โปรตีน
- ไขมัน
- คาร์โบไฮเดรต
- แร่ธาตุ
- วิตามิน
เห็นไหมครับว่า สุนัขก็ต้องการสารอาหารเหมือนกับคนเราเช่นกัน แตกต่างกันที่ปริมาณเท่านั้น ถ้าท่านคิดจะเลี้ยงด้วยการทำอาหารให้ลูกสุนัขกินเอง เมนูที่จะทำนั้นต้องมีส่วนประกอบคือ ข้าว เนื้อสัตว์ ผัก เป็นส่วนสำคัญ ลูกสุนัขมีต่อมรับรสเหมือนกันแม้จะไม่คล้ายกับมนุษย์เรา การปรุงรสชาติที่ดีจะทำให้สุนัขเจริญอาหาร กินอาหารได้เยอะ อาหารสดที่ทำควรจะสลับไปเรื่อยๆ อย่าให้กินอาหารที่ซ้ำกันนานๆ เพราะองค์ประกอบของสารอาหารจะเหมือนเดิม ทำให้สุนัขขาดสารอาหารชนิดใดก็จะขาดอยู่อย่างนั้นตลอด และจะเป็นปัญหาต่อสุขภาพในอนาคต ไข่ดิบ ไข่ลวก ไม่จำเป็นต้องให้กิน เพราะโปรตีนในไข่ดิบและไข่ลวกจะไม่ได้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ลูกสุนัขให้กินไข่สุกได้เลย โดยการทอดหรือต้มก็ได้ ตับต้ม ตับย่าง อีกอย่างหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ลูกสุนัขกินได้ แต่ไม่ใช่กินทุกวันอาจจะให้กินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง การที่ใช้ตับเป็นอาหารทุกวันจะทำให้ลูกสุนัขมีปัญหาเรื่องของกระดูกเพราะในตับนั้นมีความไม่สมดุลของแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบในร่างกายเป็นอย่างมาก คือ แคลเซียมอยู่น้อยกว่าฟอสฟอรัสถึง 37 เท่า ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความต้องการอย่างแท้จริงของลูกสุนัข คือ ในร่างกายต้องการแคลเซียมสูงกว่าฟอสฟอรัส อยู่ 1.2 เท่า ถ้าท่านให้ลูกสุนัขกินตับเข้าไปเยอะ ฟอสฟอรัสในตับก็จะเข้าสู่กระแสเลือด กลไกของร่างกายจะถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติให้ร่างกายสลายกระดูกเพื่อดึงเอาแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือด จะรักษาระดับสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสให้คงที่เสมอ ผลของการสลายกระดูก คือ สุนัขจะเป็นโรคกระดูกอ่อน กระดูกหักง่าย
ฉะนั้น การปรุงอาหารให้ลูกสุนัขกินต้องยึดหลักการความสมดุลของสัดส่วนอาหารไว้เป็นสำคัญ ในกรณีที่เราปรุงอาหารให้ลูกสุนัขกินเอง การให้อาหารเสริม เช่น วิตามินที่เป็นเม็ด หรือแคลเซียมเม็ด อาจจะจำเป็นต้องให้ลูกสุนัขกินบ้างโดยต้องให้สัตวแพทย์เป็นผู้แนะนำให้จะดีที่สุด
มีอีกทางเลือกหนึ่งในปัจจุบัน คือ การให้อาหารสำเร็จรูปแก่ลูกสุนัข ท่านสามารถทำได้เช่นกัน อาหารสำเร็จรูปมีหลายชนิดเป็นกระป๋องเ ป็นเม็ด เรามีหลักการเลือกอาหารให้กับลูกสุนัข ดังนี้
- ท่านต้องเลือกอาหารสำเร็จรูปสูตรลูกสุนัข (PUPPY) ให้แก่ลูกสุนัข อย่าใช้ผิดสูตร เพราะสัดส่วนของสารอาหารในสูตรของลูกสุนัขนั้นจะมีสารอาหารอย่างโปรตีน ไขมัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส สูงกว่าในสูตรอาหารสุนัขโต เรียกว่าเหมาะสมกับตัวลูกสุนัขแน่ๆ
- ท่านจะเลือกอาหารกระป๋องหรืออาหารเม็ด ขึ้นอยู่กับว่าสุนัขท่านชอบกินอาหารลักษณะไหน ถ้าเป็นอาหารกระป๋องจะกินง่ายกว่า เพราะมีกลิ่น มีน้ำ และรสชาติดีกว่าอาหารเม็ด แต่จะมีราคาแพงกว่า ส่วนอาหารเม็ดนั้นเมื่อเทียบกับอาหารกระป๋องจะถูกกว่า สะดวกในการให้ และเราสามารถควบคุมปริมาณการกินได้ง่าย แต่ความน่ากินนั้นจะด้อยกว่า โดยทั่วไปแล้วลูกสุนัขจะถูกฝึกให้กินอาหารเม็ดตั้งแต่เลิกหย่านมใหม่ เพราะผู้เพาะพันธุ์สุนัขขายได้คำนึงถึงความสะดวกสบายในการเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด
- เวลาซื้อต้องตรวจดูถุงหรือภาชนะที่บรรจุอาหาร ต้องไม่มีรูรั่ว ไม่มีแมลง เช่น ตัวมอด ตัวหนอนเจาะไชถุง ถ้าเป็นกระป๋องก็ต้องไม่บุบหรือบวม ไม่ขึ้นสนิม ที่สำคัญต้องไม่มีกลิ่นหืน หรือกลิ่นบูดเน่าของอาหาร ตราและชื่อบริษัทชัดเจนสามารถติดต่อสอบถามได้ง่าย
ลูกสุนัขที่มีอายุ 1.5 เดือน เป็นช่วงที่เพิ่งจะหย่านม ลูกสุนัขจะมีขนาดกระเพาะอาหารที่เล็กเช่นกัน ความจุของกระเพาะจะต่ำ กินอาหารไม่มากก็จะอิ่ม มีวิธีการให้อาหาร 3 วิธี คือ
- ให้อาหารไว้ทีละเยอะๆ ให้ลูกสุนัขกินเอง (Free-choice Feeding) การให้อาหารลักษณะนี้มีข้อดี คือ ลูกสุนัขจะได้กินอาหารตลอดเวลา กินได้ทั้งวัน และเจ้าของก็ไม่ต้องดูแลมาก ตื่นเช้ามาก็ตักอาหารวางไว้รอให้ลูกสุนัขมากินเอง วิธีนี้ต้องใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูปจะดีที่สุดเพราะจะไม่เน่าเสีย ถ้าเป็นอาหารชนิดอื่นไม่ควรใช้ แต่ท่านเจ้าของก็ต้องหมั่นล้างทำความสะอาดชามน้ำ ชามอาหารทุกวัน และถ้าเลี้ยงลูกสุนัขหลายตัว ต้องสังเกตดูด้วยว่าลูกสุนัขทุกตัวได้กินเท่ากันหรือไม่เพราะในหมู่ลูกสุนัขจะมีการจัดลำดับของฝูงเหมือนกัน เจ้าตัวที่แข็งแรงจะขู่และแย่งกินอาหาร ส่วนเจ้าตัวที่อ่อนแอก็ถูกแย่งอาหารกิน หรือจะได้กินเต็มที่ก็เมื่อเจ้าตัวแข็งแรงกินอิ่มก่อน ข้อเสียสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านเจ้าของจะไม่ทราบว่าลูกสุนัขตัวไหนป่วย เพราะไม่สามารถตรวจได้เลยว่าลูกสุนัขตัวไหนไม่กินอาหาร
- ให้อาหารโดยใช้เวลาควบคุม (Time-controlled Feeding) การที่ท่านกำหนดเวลาให้ลูกสุนัขกินอาหารนั้นมันจะเกิดเงื่อนไขขึ้นโดยอัตโนมัติ พอได้เวลาที่ลูกสุนัขเคยได้รับอาหาร มันอาจจะวิ่งตามท่านหรือไม่ก็เห่าร้อง และเมื่อท่านให้อาหารลูกสุนัขก็จะกิน บางตัวอาจจะรีบกินด้วยซ้ำไป ท่านควรจะกำหนดเวลาเป็นช่วง 15 - 20 นาที ถ้าเลยจากนั้นท่านก็เก็บอาหารขึ้นไว้ให้ในมื้อต่อไป ลูกสุนัขอายุไม่เกิน 6 เดือน ควรให้กินวันละ 3 - 4 ครั้ง จากนั้นพออายุมากขึ้น 6 - 12 เดือนก็ให้อาหารแก่ลูกสุนัขเหลือวันละ 2 ครั้ง พออายุเกิน 1 ปีขึ้นไปให้กินวันละ 2 ครั้งเช่นกัน การให้อาหารวิธีนี้จะช่วยให้ท่านทราบความเป็นไปของลูกสุนัขอย่างใกล้ชิด และท่านจะสูญเสียอาหารน้อย สุนัขจะมีระเบียบไม่วุ่นวาย แต่ท่านต้องแบ่งเวลาไว้ทำกิจกรรมเหล่านี้กับลูกสุนัขของตนเอง
- ให้อาหารแบบแบ่งส่วนตามอัตราการกินแต่ละตัว (Portio -controlled Feeding) วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีมาก แต่ท่านเจ้าของต้องเสียเวลาในการคาดคะเนดูว่าสุนัขของท่านกินอาหารมากขนาดไหนในแต่ละมื้อ แล้วให้กินเท่าที่สุนัขจะกินได้ วิธีการเช่นนี้จะทำให้สุนัขได้อาหารพอต่อความต้องการ ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเลี้ยงลูกสุนัข คือ การเปลี่ยนอาหาร เพราะบางครั้งท่านเจ้าของอาจจะพบว่าลูกสุนัขปฏิเสธไม่ยอมรับอาหารใหม่ที่ท่านให้กิน การเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัขหรือสุนัขโตนั้นต้องทำซ้ำๆ กันหลายวัน สัปดาห์แรกของการเริ่มเปลี่ยนอาหารนั้นท่านต้องนำอาหารใหม่และอาหารเก่ามาคลุกรวมกันก่อน โดยใส่อาหารใหม่ลงไปไม่เกิน 1 ใน 4 ของอาหารเดิม เพราะการที่เราค่อยๆ ใส่อาหารใหม่แล้วคลุกรวมกับอาหารเก่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไม่มาก ลูกสุนัขจะไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เราต้องการให้ใหม่ พอสัปดาห์ที่ 2 เราก็เพิ่มอัตราส่วนของอาหารใหม่เป็น 1 ใน 2 ของอาหาร คลุกเหมือนเดิม พอสัปดาห์ที่ 3 ก็เพิ่มเป็น 3 ใน 4 และสัปดาห์ที่ 4 ท่านลองให้อาหารใหม่เพียงอย่างเดียว สุนัขก็จะเคยชินและยอมรับอาหารใหม่ได้ การเปลี่ยนอาหารให้ลูกสุนัขจึงต้องใช้เวลาอย่างต่ำที่สุด 4 วัน ไม่ใช่จู่ๆ นึกจะเปลี่ยนอาหารก็เปลี่ยน แต่ถ้าสุนัขตัวไหนที่ปฏิเสธอาหารมากๆ คงจะต้องใช้เวลานานกว่า 4 สัปดาห์ ค่อยๆ ทำ ใจเย็นๆ ก็จะเปลี่ยนได้เอง
|