วิธีสอนภาษาอังกฤษสำหรับผู้เริ่มเรียน
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลภาษาหนึ่ง ซึ่งมีผู้ใช้กันมากในการติดต่อกับคนต่างชาติ จะเห็นได้ว่า เมื่อคนไทยจะต้องมีการติดต่อกับคนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น คนมาเลเซีย ถ้าคนไทยไม่รู้จักภาษาที่ใช้อยู่ในมาเลเซีย หรือคนมาเลเซียไม่รู้จักภาษาไทย การสื่อความหมายทั้งในการพูด และ / หรือการเขียน ก็จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษ การสอนทักษะในวิชาภาษาอังกฤษ
คำว่า “ ทักษะ ” นี้จะอธิบายได้อย่างง่าย ๆ คือ ความสามารถที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความชำนาญ คล่องแคล่ว ว่องไว โดยที่ผู้ปฏิบัติไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือเตรียมตัว เป็นต้นว่า การขับขี่จักรยานหรือว่ายน้ำ ผู้ที่ขับขี่จักรยานและว่ายน้ำเป็น จะไม่คิดเลยว่าก่อนที่ตนจะขึ้นจักรยาน ว่ายน้ำนั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง ในการพูดภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาของเราเองนั้น เราก็ไม่เคยคิดว่า ในประโยคหนึ่ง ๆ ที่เราต้องการพูด คำใดจะต้องมาก่อน คำใดจะต้องมาหลัง การขับขี่จักรยาน การว่ายน้ำ และการพูดภาษาไทยเท่าที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นทักษะของผู้ปฏิบัติทั้งสิ้น ผู้ที่จะมีทักษะได้นั้นจะต้องได้รับการฝึกหัดหรือปฏิบัติบ่อย ๆ นานเข้าก็เกิดความคล่องแคล่วและเคยชินในสิ่งนั้น ๆ จนในที่สุดก็สามารถปฏิบัติได้โดยอัตโนมัติ วิชาต่าง ๆ ที่เรียนในชั้นหนึ่ง ๆ นั้น อาจจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ก. วิชาเนื้อหา เช่น วิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิชาเหล่านี้มุ่งจะเพิ่มพูนความรู้ของนักเรียนให้มากขึ้น เพื่อเป็นพื้นฐานให้นักเรียนนำใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ และสามารถใช้ความรู้ที่ตนมีอยู่ช่วยในการคิดค้นหาทางที่จะปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตหรือการเป็นอยู่ของตนในชีวิตประจำวัน
ข. วิชาทักษะ เช่น วิชาวาดเขียน หัตถศึกษา วิชาเหล่านี้นักเรียนจะต้อง ฝึกหัดจนได้ความชำนาญ การเรียนวิชาประเภทหลังนี้การสอนย่อมต่างไปจากวิชาประเภทเนื้อหา เพราะครูจะใช้วิธีบอกเล่าทฤษฎีและวิธีปฏิบัติ หรือให้นักเรียนค้นคว้าหาตำราอ่านนั้นย่อมไม่ได้ผล ครูจะต้องให้นักเรียนลงมือทำด้วยตนเอง ครูเป็นผู้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างและคอยแนะนำช่วยเหลือจนนักเรียนสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง และเมื่อนักเรียนได้ปฏิบัติบ่อย ๆ ก็จะเกิดความชำนาญ คล่องแคล่ว มีทักษะในวิชานั้น ๆ ขึ้นเอง
จากประเภทของวิชาทั้ง 2 อย่างข้างบนนี้ จะเห็นได้ว่า วิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาประเภททักษะ ผู้เรียนจะต้องฝึกทักษะในการใช้เครื่องมือซึ่งปรากฏเป็น 2 ลักษณะ คือในลักษณะคำพูด และในลักษณะตัวอักษร เมื่อใช้คำพูดเป็นเครื่องมือสื่อความหมาย ผู้ที่จะติดต่อกันก็จะต้องใช้การพูดและการฟังเป็นเครื่องสำคัญ ถ้าใช้ตัวอักษรเป็นสื่อผู้ที่จะติดต่อกันก็จะต้องรู้จักและเข้าใจตัวอักษรนั้น ๆ กล่าวคือ จะต้องอ่านออกและเข้าใจความหมายและจะต้องสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนออกเป็นตัวอักษรให้ผู้ที่ตนติดต่อนั้นเข้าใจด้วยจากเครื่องมือ 2 ลักษณะเท่าที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า ผู้เรียนจะต้องมีการฝึกทักษะ 4 ประการคือ
ก. ทักษะในการฟัง
ข. ทักษะในการพูด ค. ทักษะในการอ่าน
ง. ทักษะในการเขียน
ทักษะในการเรียนภาษาดังกล่าวข้างต้นนี้ เริ่มแรกครูควรจะฝึกทักษะในการฟังและพูดเสียก่อน เมื่อนักเรียนแม่นแล้วจึงฝึกทักษะอ่านและเขียน ทั้งนี้เพื่อจะให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเรียนภาษาของมนุษย์ ถ้าเราพิจารณาการเรียนภาษากำเนิด ( mother tongue ) ของเด็กจะเห็นว่า ก่อนที่เด็กจะพูดนั้น เด็กได้ยินผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพูด ในขั้นแรกเด็กจับความหมายไม่ได้เมื่อได้ยินซ้ำ ๆ เข้าพร้อมกับได้เห็นอาการกิริยาต่าง ๆ ก็เกิดความเข้าใจความหมาย และเริ่มเลียนเสียงด้วยคำสั้น ๆ ง่าย ๆ ก่อน ต่อมาจึงพูดคำยาว ๆ และยากขึ้นตามลำดับ เด็กเริ่มหัดอ่านและเขียนเวลาเข้าโรงเรียน ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าธรรมชาติแห่งการเรียนภาษานั้นต้องเริ่มจากฟังแล้วจึงพูด เมื่อพูดได้แล้วจึงอ่านและเขียน วิธีการเรียนภาษาอังกฤษก็ควรจะเป็นทำนองเดียวกันกับการเรียนภาษากำเนิด คือเรียนตามลำดับขั้นของการสอนทักษะทั้ง 4 ในการสอนคำและรูปประโยคภาษาอังกฤษจะต้องเริ่มด้วยการให้นักเรียนได้ฝึกฟังให้ได้ยินและเข้าใจความหมายให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วจึงให้พูด เมื่อพูดได้ถูกต้องแล้วจึงอ่านและเขียน ในการสอนทักษะทั้ง 4 นี้ จะต้องให้สัมพันธ์กันไปตลอดเวลา จะแยกเป็นประโยคและคำศัพท์พวกหนึ่งไว้สอนและพูด และอีกพวกหนึ่งไว้สอนอ่านและเขียนไม่ได้ การสอนประโยคก็ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ให้ฝึกฟังแล้วให้ฝึกพูดและฝึกอ่านเขียนโดยลำดับเสมอไป
|