ในขณะที่หลายครั้งยังทำความเข้าใจตัวเองยาก อ่านตัวเองไม่ออก
บันทึกของฉันทำให้ฉันได้กลับมาทบทวนตัวเอง
จนแทบจะบอกได้ว่านั่นคือหนังสือเล่มแรกของฉันเลยทีเดียว
ใช่ ..เป็นหนังสือเล่มแรก หนังสือชีวิต เพราะฉันใช้เวลาซึมซับชีวิตของฉันไว้ทั้งชีวิต
คืนวันเก่าเก่า เรื่องราวประทับใจถูกผนึกไว้ ฉันเรียกหน่วยความจำเสี้ยวนี้ว่าอารมณ์
ที่คั่นอารมณ์ของฉันเป็นการ์ดกระดาษสาสีม่วงอ่อน ฉันผนึกดอกปีบแห้งดอกหนึ่งไว้ที่นั่น
สีขาว กลิ่นหอม รูปสวยยังไม่จางไปจากความทรงจำ แม้ในวันนี้จะเป็นเพียงดอกไม้อัดแห้ง
เจ้าของดอกปีบอัดแห้งที่ฉันเก็บไว้ใกล้ตัวเสมอ ป่านนี้..เธอทำอะไร..
อัจน์..หนุ่มน้อยช่างฝัน ขี้อาย ..อัจน์ คนรักเสรีเหมือน โจนาธาน ลิฟวิงสตัน
หนังสือที่เธอติดมือมาฝากฉันในวันใสใส
อัจน์รู้จักกับฉันในกิจกรรมลูกทุ่ง ลูกเสือชาวบ้าน..
คอร์สที่บังคับทั้งประเทศนั่นแหล่ะ..
หลังจากกิจกรรมนั้น เธอพาตัวมาใกล้ชิด ..ก็รั้วสถาบันเราติดกัน..
สถาบันวิชาชีพของวัยอุดมศึกษา
วันแรกแรกมาพร้อมแจ็คเพื่อนชาย ต่อมาบินเดี่ยว
น่าแปลกนะ ที่คนขี้อายอย่างอัจน์จะบุกเดี่ยวมาพบฉันได้ทุกวัน
ในสถาบันที่มีหญิงมากกว่าชาย บางวันมาอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย
ขอให้ได้มา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้พบฉันไหม
เพราะเราต้องเปลี่ยนชั้นเกือบทุกชั่วโมงเรียน บริเวณออกจะกว้างปานนั้น
เธอให้เหตุผลง่ายๆ " ไม่มีอะไรกว้างเกินกว่าความสนใจจะไปถึง " อะโห..
แต่จริงๆแล้วช่วงพักเที่ยงฉันไม่เคยไกลไปจากสำนักหอสมุด
และโรงอาหาร อัจน์ย่อมต้องไม่มาในเวลาเรียน เธอไม่โดดเรียน เด็กดี..
อัจน์เป็นคนเรียนเก่ง พื้นฐานทางครอบครัวของเราเหมือนกัน
สุภาพบุรุษ..อ่อนน้อมถ่อมตน..พูดเพราะ..ยิ้มง่าย..เก๋แบบคนซ่อนคม..
ฉันไม่เคยรู้ว่าเธอชอบฉัน ในความกะโปโล นึกว่ามาจีบแขกเพื่อนสนิท
ทุกครั้งที่พบกันไม่เคยมีครั้งไหนที่เราคุยกันตามลำพัง
เริ่มรู้ตัวก็เมื่อแขกมักหาเรื่องเลี่ยงไปเพื่อเปิดโอกาสให้เราคุยกัน
แต่ไม่มีวันเสียล่ะ ฉันตามหาจนเจอและบอกว่าไม่ชอบให้เธอทำแบบนั้น
ฉันไม่มีความลับระหว่างเพื่อน และฉันรู้ว่าแขกชอบอัจน์..
แต่นั่นแหล่ะนะ แขกไม่ใช่เป้าหมาย...
เราข้ามรั้วมาติดต่อกันนานถึงสามปี..
จนเธอเรียนจบชั้นสูงสุดและเตรียมไปศึกษาต่อต่างจังหวัด
ฉันเองฝึกงานครั้งแรกในชีวิตจากวิชาชีพที่เลือกด้วยใจรัก
ฉันเลือกเรียนครูเพราะศรัทธาและภูมิใจอย่างที่เห็นพ่อเป็น
ฉันเรียนครูตามพ่อเพื่อไม่ต้องไปไกลบ้าน ก็ฉันคนติดบ้าน
ที่นี่ฉันมีครูบาอาจารย์และเพื่อนจากวัยมัธยมมีสังคมที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยน
เด็กเรียนคนนั้นขี่รถฝ่าเปลวแดดดั้นด้นตามหาฉันถึงสถานที่ฝึกงาน
ตามหาเพื่อที่จะให้ฉันลงลายมือชื่อบนกระเป๋าหน้าอกเสื้อวันสำเร็จการศึกษา
ท่ามกลางตัวหนังสือขยุกขยิกแบบลายมือผู้ชายในระยะเริ่มต้นของเทคโนโลยีเต็มตัวเสื้อ
ปากกาสีชมพูที่เธอยื่นส่งให้ ทำให้ลายมือชื่อของฉันเด่น..กระจ่าง..
ฉันเห็นลายมือชื่อที่เพิ่งหัดโย้เย้ชัดเจนบนกระเป๋าเสื้อ..แนบอกเธอ..
อัจน์..จำได้นะ..และภูมิใจเสมอ..สำหรับ.."เนื้อที่ที่เก็บไว้ให้น้องกลาง"
หลังจากวันที่เธอแยกตัวไปเรียนแล้ว เราติดต่อกันทางจดหมาย
จดหมายหนาปึกในซองสีน้ำตาลกับแสตมป์สวยๆที่เธอเลือกสรร
จดหมายยาวยาวนั้นเล่าเรื่องชีวิตในรั้วมหาวิยาลัยละเอียดยิบ จนพ่อขี้เกียจอ่าน ..
ครั้งหลังหลัง เมื่อฉันยื่นจดหมายหนาหนานั้นให้พ่อเหมือนทุกครั้ง
พ่อส่ายหน้าและพยักหน้าให้ฉันอ่านเองไม่ต้องผ่านเซ็นเซอร์ ฉันสะสมแสตมป์..
ปิดภาคเรียนแต่ละครั้งเธอจะกลับมาบ้าน มาพบฉัน แต่ส่วนใหญ่จะมาพบพ่อ
หลายครั้งที่ไม่พบฉันซึ่งหลบเลี่ยงอย่างไม่รู้สาเหตุ
ฉันไม่รู้ว่าทำไมต้องคอยหลบ ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
พ่อคงสังเกตได้จากปฏิกริยาของฉัน วันหลังมาแอบได้ยินสองหนุ่มต่างวัยคุยกัน
"มาทำไมล่ะ"
"มาเที่ยวครับ"
"ที่นี่ไม่ใช่ที่เที่ยว.." !!!!
อัจน์ไม่รู้จักพ่อ เท่าพ่อรู้จักอัจน์..
:::ลมเอย:::