ในคืนวันที่เพื่อนส่วนหนึ่งจบการศึกษาและออกทำงานในภูมิลำเนา
ฉันเริ่มรู้สึกเหงา.. ส่วนใหญ่เพื่อนเพื่อนจะมาจากต่างจังหวัด
และไม่เรียนต่อในระยะสองปีสุดท้าย เพื่อนส่วนใหญ่ในกลุ่มมีงานรออยู่แล้ว
ใจฉันกระโจนตามเพื่อนไปแม่ฮ่องสอนเลย
แต่พ่อให้ฉันเรียนต่อจนจบปริญญาตรีก่อน
พ่อมองเห็นฉันเป็นเด็ก ฉันเข้าใจพ่อ.. พ่อไว้ใจฉัน แต่พ่อไม่ไว้ใจคนอื่น..
อัจน์เรียนปีสุดท้าย แต่เพราะเธอต้องดร็อบในระยะที่ป่วย
ทำให้ต้องยืดเวลาออกไปอีก อัจน์เก็บหน่วยกิตในช่วงซัมเมอร์ของเทอมสุดท้าย
แต่ก็หาโอกาสปลีกตัวมาพบฉันเสมอ วันหนึ่งอัจน์ได้พบกับพี่สรวง
น้องสาวของพี่สันต์ที่มาเยี่ยมเยียนพ่อและฉันเช่นเคย
พี่สรวงเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนซึ่งคุณแม่ของอัจน์เป็นคนไข้ประจำ
พี่สันต์ได้คุยกับอัจน์อยู่นานที่ลานไผ่ ทิ้งฉันให้ทำอาหารสองคนกับพี่สรวง
มีโอกาสได้คุยกันเรื่องอัจน์ ก็คุยเรื่องนั่นนี่สัพเพเหระตามนิสัยหญิง
เหมือนเราคุยกันได้ทุกเรื่องราวรวมถึงเรื่องอัจน์ด้วย
วันนั้นฉันได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวอัจน์ในมุมที่ฉันไม่เคยรู้
..ครอบครัวของอัจน์..มีอย่างน้อยสองคนที่ฆ่าตัวตาย..
หนึ่งคนพยายามฆ่าคนอื่นโดยเตรียมการไว้ก่อน..
ฉันรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก..ปัญหาทางจิต..สืบทอดทางสายเลือด..
วันที่อัจน์ทวงคำตอบให้รอ ฉันเข้าใจว่าหมายถึงอะไร..
แต่โดยท่าที..ฉันแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ..
ท่าทีนุ่มนุ่มละมุนละไมของอัจน์ ฉันไม่อยากทำร้ายเธอเลย
ฉันพยายามคลี่คลายไม่ให้เธอทุกข์ ไม่อยากกดดัน
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันไม่ชอบให้ความหวังคนอื่นแบบลมแล้ง
ฉันบอกด้วยปากกับเธอเองในวันนั้น..กลางแดดอบอุ่นปลายฤดูหนาว
ฉันบอกเธอว่าฉันต้องเรียนต่อให้จบ..ฉันไม่ได้ไปไหนสักหน่อย.
ฉันบอกอัจน์ว่าไม่อยากใช้คำว่ารอ ..
การรอคอยบั่นทอนความรู้สึก..ทั้งต้นทางและปลายทาง..
ซึ่งฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงจริง
" กลางก็ยังอยู่ที่นี่ ใครอยากมาก็มาได้ กลางกับพ่อยินดีต้อนรับอยู่แล้ว.. "
ฉันอ้างพ่อเฉยเลย ก็จริงจริงนี่..พ่อยินดีต้อนรับทุกคนแหล่ะ..
ฉันไม่ลืมหยอดท้ายเล่าเรื่องความคิดของฉันให้อัจน์ฟัง
ในวันหนึ่งที่พ่อบอกว่าพ่อไม่ใช่จะอยู่ค้ำฟ้าดูแลฉันไปตลอด
ฉันบอกพ่อว่าฉันจะเปิดกิจการสงเคราะห์คนชรารับเลี้ยงผู้สูงอายุ
เพื่อให้พ่อมีเพื่อนในวัยเดียวกัน..พ่อถามว่า..แล้วถ้าพ่อตายก่อนแก่ล่ะ?"
"กลางก็ไปอยู่ป่วนสถานสงเคราะห์คนชรา.."..ฉันคิดอย่างนี้ จริงจริงนะ
ฉันขอให้เธอตั้งใจเรียนจะได้จบเร็วเร็วกับมาดูแลคุณแม่
ฉันเต็มใจที่จะเป็นกำลังใจให้อยู่ตรงนี้เหมือนเดิม
ไม่ว่าจะอย่างไรเราร่วมแผ่นดินผืนเดิม
ต่อให้ไกลเท่าไกล เราอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน ....
พายุตั้งเค้า..มรสุมชีวิตของฉันโชยกลิ่นไอ.
ปีสุดท้ายของการศึกษา
น้องเล็กประสบอุบัติเหตุระหว่างร่วมกิจกรรมกับมหาวิทยาลัย
เธอต้องตัดขาเพราะแผลที่ข้อเท้าลุกลามขาข้างที่ขาดหายมีขาเทียมทดแทน
แต่ดวงใจร้าวรานของพ่อ..ยากที่จะซ่อมแซม
ในชีวิต..ฉันไม่เคยเห็นพ่อล้มป่วย เมื่อล้มสักครั้งยากเยียวยา
เรื่องการพลัดพรากและการเจ็บป่วย
อณูหนึ่งของวงจรชีวิต การเริ่มต้นชีวิตใหม่ - การสูญเสีย
ฉันขลุกอยู่กับความเจ็บป่วยของบุคคลอันเป็นที่รักกว่าขวบปี
ไม่เคยลืมตัวเองที่วิ่งกระโปรงปลิวกระโดดขึ้นรถไฟ
ทุกเย็นวันศุกร์ในช่วงปีสุดท้ายของระดับอุดมศึกษา
ปลายทางคือพ่อที่คอยอยู่ทุกขณะจิตในห้องพิเศษ 104
ตึกพิเศษสีขาว คนไข้พิเศษของคุณหมอดนัย
นายแพทย์ตัวเล็กเล็กแสนใจดี กับรอยยิ้มเย็นเย็นเปี่ยมเมตตา
"มีอะไรหนู" เสียงนั้น สายตานั้นยังจำได้เสมอ
ท่านอุตส่าห์ละจากแขกหันมาทักฉัน
เด็กผู้หญิงคนที่วิ่งเท้าเปล่าจากตึกพิเศษลงมายืนลับๆล่อๆถึงหน้าบ้านพัก
ปาดน้ำตาแล้วบอกบนสะอื้น "คุณพ่อช็อค"
"เดี๋ยวหมอตามไป"
"เดี๋ยว" ของท่านก้อถึงพร้อมฉันนั่นแหล่ะ
ความผูกพันเพียงแค่"คนบ้านเดียวกัน"
และ "อาจารย์ของภรรยา" เท่านั้นเอง
จนป่านนี้ยังนึกไม่ออกเลยว่าฉันทำอย่างนั้นได้อย่างไร
มีเด็กผู้หญิงสักกี่คนที่วิ่งถลาลงไปทุบเคาน์เตอร์พยาบาลตอนตีห้า
ไม่ได้ดั่งใจก้อกระโจนพรวดไปถึงหน้าบ้านพักหมอเลย
เหตุการณ์อย่างนี้ดำเนินอยู่เกือบปี
ฉันเจอมรสุมแล้ว..ฉันจะผ่านชีวิตช่วงนี้ไปอย่างไรกันหนอ..